ไหนๆ The Weeknd กำลังจะออกอัลบั้มชุดใหม่ที่มีชื่อว่า Beauty Behind The Madness ที่รวมซิงเกิ้ลฮิตอย่าง The Hills และ Can't Feel My Face ที่กำลังจะวางแผงในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ผมเลยถือโอกาสรีวิวอัลบั้มนี้เสียเลย Kiss Land ถือเป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการภายใต้สังกัด XO และ Repulbic Record ของหนุ่มฮิปส์เตอร์อาร์แอนด์บี Abel Tesfaye หรือที่รู้จักกันในนามของ The Weeknd ซึ่งตอนนี้ดังได้ดิบได้ดีจากเพลง Earned It เพลงประกอบหนัง Fifty Shades Of Grey จากผลงานชุดที่แล้วอย่าง Trilogy หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า นี่เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของ Abel แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่นะฮ๊าฟ มันเป็นการนำมิกซ์เทปทั้งสามชุดอย่าง House Of Balloon , Thursday และ Echoes Of Silence มารวมกัน Kiss Land เนี่ยแหละสตูดิโอชุดแรกจริงๆ Kiss Land ชุดนี้ผมว่ามันซอฟต์กว่า Trilogy เยอะ ลดความดาร์กลงเยอะ ลดคำหยาบได้บ้าง แต่ตัวเพลงโดยรวมยังให้บรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล ลึกลับ หลอนๆ อีโรติค สองแง่สองง่ามอยู่ดี
ถึงแม้ว่าชื่ออัลบั้มจะไปในทางโรแมนติกกะโหลกกะลานิดนึง แต่คอนเซปต์ของ Kiss Land เป็นการออกเดินทางไปในสถานที่ๆไม่คุ้นเคย เจอคนแปลกหน้ามากมาย การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนไม่ใช่การออกเดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์แต่อย่างใด เจตนารมณ์ลึกๆต้องการหลีกหนีเมือง Toronto (อันเป็นสถานที่ที่เอเบลพูดถึงบ่อยมากๆ ในมิกซ์เทปไตรภาค Trilogy) นอกจากนี้ยังหลีกหนีผู้หญิงที่เอเบลเคยคบออกไปให้ไกลที่สุดอีกด้วย ไปเจอหญิงใหม่มากหน้าหลายตา เสพสุขอยู่ในดินแดนแห่งกิเลสตัณหาที่แฝงด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ นั่นแหละคือ Kiss Land หนังThriller ในจินตนาการของ Abel Tesfaye
Kiss Land ประกอบไปด้วย 10 แทร็คพร้อมโบนัสแทร็ค 2 แทร็คด้วยกัน จำนวนแทร็คดูน้อย แต่ความยาวของแต่ละเพลงยาวไม่ใช่เล่น ขั้นต่ำห้านาทีฮับผม ฟังกันยาวๆ 1 ชั่วโมง
อยากให้ลองดูคลิปนี้ แล้วจะเข้าใจคอนเซปต์ของ Kiss Land มากขึ้นครับ
เริ่มจากเพลงแรก Professional เปิดแบบเงียบๆ เสียงเอื้อนๆ เนิบๆ มีบีทเคาะแทรกเป็นช่วงๆ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นแทร็คเปิดที่ยังไม่โปรเฟสชั่นน่อลซะเท่าไหร่ ค่อนข้างน่าเบื่อและเนิบนาบไปนิดนึง แต่ก็ไม่ได้แย่มากฮับ
คลิปซ้อมร้องเพลงวอร์มอัพหลังเวที Belong To The World และ The Town
The Town เพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่เอเบลเพื่อหนีผู้หญิงคนนึงที่เคยทิ้งเอเบลไปหาคนอื่น มาแบบช้าๆ ชอบน้ำเสียงอันละเมียดละไมของพี่แกมากๆ ให้ความรู้สึกสมูทในตอนแรก แต่ต่อมาโทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปใช้บีทสังเคราะห์ อิเล็คโทรนิคนิดๆ พาคนฟังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนวุ่นวาย เจ๋งดีฮับ
3 แทร็คต่อไปให้ความต่อเนื่องดีฮับ ไม่ว่าจะเป็น Adaptation อาร์แอนด์บีผสมผสานความเป็นกอสเปลได้ฮึกเหิมมากๆฮับ ถึงจะไม่ใช่แทร็คที่โชว์พลังเสียงอะไรมาก แต่ให้ความตื่นเต้นไม่น้อย ต่อเนื่องด้วย Love In The Sky แฝงความเซ็กซี่อยู่ไม่น้อยด้วยน้ำเสียงสุดละเมียดละไมของเอเบลอีกเช่นเคย ฟังเพลิน เนื้อหาอีโรติกโคตรๆ
Belong To The World อินโทรเปิดด้วยดับสเต็ปเท่ๆ เป็นป็อบที่มาแปลกแหวกแนวมากๆฮับ ตัวเพลงอลังกาล ส่วนเอ็มวีอันนี้ It A Must จริงๆ อลังกาลงานสร้างโคตรๆระดับเดียวกับเอ็มวีของศิลปินซุปตาร์เลยล่ะครับท่าน ลงทุนถ่ายทำถึงญี่ปุ่น แถมได้คนญี่ปุ่นมาแสดงร่วมในเอ็มวีเยอะมากๆ คารวะความเป็นญี่ปุ่นมากๆ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมและภาษา เป็น 7 นาทีที่คุ้มค่าแก่การรับชม
Live For (Feat. Drake) อันนี้ก็มาแปลกๆดิบๆ มีเสียงพิณญี่ปุ่นเคล้าคลอกับเสียงร้องสุดสมูทของเอเบล เสนาะหูดีแท้ แถมยังได้เดรกผู้เป็นเพื่อนสนิทมาร่วมแร็พแจมสร้างสีสันให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ไม่อยากจะบอกว่าเดรกกับเอเบลเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ Crew Love และ The Zone แล้ว
Wanderlust รีฟกีตาร์เปิดอินโทรพี่ไทยโคตรๆ sound ดูมั่วไปหน่อย แต่เสียงร้องในแทร็คนี้ทำให้นึกถึง Michael Jackson
มาถึง Title Track ประจำชุดนี้อย่าง Kiss Land Styles เพลงชวนให้นึกถึง Trilogy อยู่ไม่น้อย เนื้อหายังไม่ทิ้งลายหนุ่มปาร์ตี้พี้ยา มั่วเซ็กส์ อยู่ดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเอฟเฟ็คเสียงผู้หญิงกรี๊ดร้อง กระตุ้นความระทึกนิดๆ เสียงร้องมาแบบเรียบๆกลางแต่ยั่วยวนได้ใจสุดๆ ไม่มีต้องอาศัยเสียงหลบเสียงสูงแต่อย่างใด
Pretty ชื่อเพลงออกแนวชื่นชมผู้หญิง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเล๊ย เนื้อหาด่าผู้หญิงที่แอบมีชู้สู่ชาย เอเบลเคยให้สัมภาษณ์ในรายการของลุง David Letterman ว่า เพลงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเพลง In The Air Tonight ของ Phill Collin ที่พูดถึงความรักครั้งเก่าที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก จะว่าไปแล้วเพลงของลุง Phill จะตัดพ้อผู้หญิงแบบอ้อมๆ แต่ไอ้ห่านี่ด่าตรงๆ ส่วนเอ็มวีแม่งโหดสัส ไม่ไว้หน้า ไม่ปราณี เป็นอีกหนึ่งเอ็มวีที่ถ่ายทำในญี่ปุ่น แต่ น18+ นะฮับ (เห็นนม เลือดสาดด้วย)
ปิดท้ายStandard Version ด้วยเพลง Tears In The Rain เพลงเศร้าบอกลาสาวเพื่อไปตามทางของตัวเอง เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากสำคัญที่มีชื่อเดียวกับเพลง ในหนังsci-fi สุดคลาสสิค Blade Runner ผมชอบอินโทรเปียโนเพลงนี้มากๆ ติดหูดี ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ทำได้ดีฮับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น