สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มสนใจอัลบั้ม Purpose ของป็อบสตาร์รายนี้ คงไม่ใช่ข่าวฉาวที่ลดน้อยลง เพราะผมเป็นแค่นักฟังเพลงเฉยๆ ไม่ถึงขั้นเป็นติ่งของบีเบอร์หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะ 2 ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาอย่าง What Do You Mean และ Sorry ต่างหาก ผมว่าสองเพลงนี้มีความแตกต่างจากเพลงป็อบทั่วๆไปนะ ทำให้เพลงของเค้าดูไม่กระจอกเลยในสายตาผม ความหมายของสองเพลงนี้ดีใช้ได้เลยครับ อีกอย่างนึงที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือ แขกรับเชิญในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ใช่กระจอก อาทิเช่น Ed Sheeran , Travis $cott , Big Sean , Halsey และ Nas มาร่วมแจมด้วย เซอร์ไพร์สรายหลังมากๆ ไม่น่าเชื่อว่า แร็พเปอร์ระดับตำนานรายดังกล่าว จะยอมลดความเป็นผู้ใหญ่มาแร็พในเพลงของวัยรุ่นได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมเห็นว่า ป็อบสตาร์รายนี้น่าจะมีอะไรพิเศษบางอย่างเฮีย Nas กับศิลปินระดับซุปตาร์รายอื่นถึงช่วยกันมาเป็นแขกรับเชิญร่วมงานในอัลบั้มชุดนี้ ในที่สุด ข้าพเจ้าจึงยอมเปิดใจฟังอัลบั้มชุดนี้
อัลบั้มชุดนี้แนวเพลงส่วนใหญ่จะออกแนวป็อบเรียบๆ ได้รับอิทธิพลจากฮิพฮอพมากพอสมควร เปิดด้วย Mark My Words เปิดแบบแปลกๆ ขาดความเป็น first impression เยอะไปพอสมควร การที่มีคอรัส นา นา น้า นา นา มันค่อนข้างเยอะจนน่ารำคาญไปเลย ซึ่งมันขัดกับดนตรีเปียโนช้าๆเรียบๆ
I'll Show You เป็นแทร็คถัดมาที่แก้ขัดแทร็คแรกได้เป็นอย่างดีครับ ท่อนฮุกเพิ่มความตื่นตาตื่นใจขึ้นมาหน่อย
What Do You Mean? ยอมรับว่าซิงเกิ้ลนี้ผมถูกใจมากครับ จังหวะเพลงกำลังพอดี ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป บีทกลมกล่อม เนื้อหาเข้าใจหัวอกผู้ชายได้เป็นอย่างดี เพราะผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก นั่นคือคอนเซปต์หลักของเพลงนี้ ที่ถูกใจเพราะผู้เขียนไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิงเนี่ยแหละ
Love Yourself เพลงนี้เป็น First Impression จริงจังเลยล่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีชื่อ Ed Sheeran ห้อยท้ายชื่อเพลงก็ตาม แต่เราก็สัมผัสได้ถึงสไตล์เพลงที่มีความเป็นเอ็ด ชีแรน อย่างเต็มเปี่ยม หนักแน่นเป็นทุนเดิม อคูลสติกกีตาร์ไฟฟ้าเท่ๆเบาๆฟังสบาย สร้างสีสันด้วยเสียงแซกโซโฟน ถึงแม้ว่าเอ็ดจะอยู่ในสถานะเป็น Vocal Backup แต่เสียงโหยหวนของเอ็ดมันเสริมท่อนฮุกได้ดีมาก มีพลัง แถมเนื้อหาก็ดีด้วย หากว่ารักเรามันไม่น่าจะไปรอด เราควรรักตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย ห่างกันซักพักนั่งทบทวนตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนต้องชอบเพลงนี้ จนเชียร์ให้ตัดเป็นซิงเกิ้ลถัดไปอย่างแน่นอน
Company มาแบบช้าๆซาวน์ดโฉบเฉี่ยวลึกลับดีครับ ท่อนฮุกเล่นคอรัสหลอนๆใช่ย่อย มีเสน่ห์ไปอีกแบบ No Pressure ดนตรีช้าๆบวกความเป็นฮิพฮอพนิดหน่อย จังหวะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัดมาก สมชื่อเพลงเลย ได้แร็พเปอร์เพื่อนสนิท Big Sean มาแร็พช้าๆเข้มๆยานๆ เข้ากับเพลงได้ดี เท่ห์เลยล่ะ เพลงนี้พูดถึงความรักที่รอได้เสมอ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก ไม่กดดันซึ่งกันและกัน เพลงนี้น่าจะเหมาะกับหนุ่มที่กำลังจีบสาวคนนึงอยู่ครับ ดูท่าทีไปก่อน อย่ารีบเร่งอะไรมาก
No Sense มาในแบบฮิพฮอพดาร์กๆ ซาวน์ดหลอนๆเลื้อยๆ ได้ Travis $cott แร็พเปอร์ออโต้จูนมาร่วมแจมด้วย หลังจากที่เคยชวนบีเบอร์ไปร่วมแจมในเพลง Maria I'm Drunk จากอัลบั้ม Rodeo ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุดในอัลบั้มชุดนั้นด้วย
ถึงแม้ว่าแขกรับเชิญจะหมดแล้ว ถึงเวลาที่บีเบอร์ขอโชว์เดี่ยวบ้าง เริ่มด้วย Life Is Worth Living เพลงช้าๆซึ้งๆ บัลลาดเปียโน ฟังดูแล้วใกล้เคียงเพลงป็อบสไตล์ Westlife แต่มีความหนักแน่นในตัว เนื้อหาดี เริ่มเข้าสู่คอนเซปต์หลักของอัลบั้มชุดนี้มากขึ้นเรื่อยๆที่พูดถึงการขอโอกาสจากสังคมเพื่อที่จะได้ปรับปรุงตัวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะทำผิดพลาดมาเยอะ ในชีวิตของคนเราก็ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
จาเพลงช้าก็มาต่อเนื่องด้วยเพลงแดนซ์อีกสองเพลง Where Are U Now ซิงเกิ้ลเก่าจากสองดีเจและโปรดิวเซอร์ Skrillex และ Diplo มาแบบเงียบๆเหงาหงอยในตอนแรกแล้วตบด้วยบีทเลื้อยๆเอี๊ยดอ๊าดอันแปลกประหลาดในท่อนฮุก และ Children เป็นเพลงแดนซ์อีดีเอ็มธรรมดาๆไม่มีไรมากครับ
แทร็คแถมใน Deluxe Version ล่ะ มีอะไรน่าสนใจบ้าง Been You และ Get Used To It อีดีเอ็มธรรมดาทั่วๆไป มาถึงแทร็กที่ผมรอคอยแล้วอย่าง We Are จะไม่ให้น่าสนใจได้ไง เพราะได้เฮีย Nas แร็พเปอร์ระดับตำนานเลยนะเฮ้ย มาร่วมแจมด้วย ฟังอินโทรเปิดแล้ว ดูวัยรุ่นมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าเฮีย Nas ยอมย้อนวัย มาขอแจมเพลงวัยรุ่นบ้าง แถมการแร็พของเฮียแกก็พูดถึงความรักในสมัยวัยเยาว์ด้วย แอบผิดหวังนิดนึง แต่การที่แร็พเปอร์ระดับตำนานผู้นี้มาแร็พในเพลงวัยรุ่นแบบนี้ ก็ดึงดูดให้ชาวฮิพฮอพต้องยอมเงี่ยหูฟังซักครั้งนึงอยู่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น