หนังที่ให้อะไรมากกว่าฮิพฮอพ
สัปดาห์นี้ ผู้เขียนขอสวมบทบาทเป็นนักรีวิวหนังชั่วคราว เพราะหนังที่ผู้เขียนรีวิวในวันนี้เป็นหนังอัตชีวประวัติของวงแก๊งส์เตอร์ฮิพฮอพ N.W.A. อย่าง Straight Outta Compton N.W.A. เป็นวงฮิพฮอพที่เป็นจุดกำเนิดแนวเพลงฮิพฮอพยุคแรกๆและไอคอนฮิพฮอพแก๊งส์เตอร์มาจนถึงทุกวันนี้ หนังฉายตั้งแต่เดือนที่แล้ว ผู้อ่านคงด่าผมในใจแน่เลยว่า ฉายตั้งนานแล้ว ยังจะสะเออะมารีวิวอีก ขอโทษที่รีวิวมาช้าเพราะ งานประจำของผู้เขียนเยอะมากๆ เลยไม่มีเวลามานั่งเขียนรีวิวยาวๆ แต่ก็อ่านแล้วไปหาโหลดมาดูก็ได้ครับ
N.W.A ย่อมาจาก Niggaz Wit Attitude แปลเป็นไทยว่า คนดำผู้หยิ่งผยอง สมาชิกของวง N.W.A ประกอบไปด้วย Eric Wright (a.k.a. Easy-E) หัวหน้าวงซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้วด้วยวัย 31 ปี ส่วนสมาชิกอีกสี่คนที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ อาทิ Ice Cube Dr.Dre หลายๆคนน่าจะรู้จักสองคนนี้เป็นอย่างดี รายแรกเป็นนักแสดงหนังฮอลลีวูดชื่อดังจากหนังเรื่อง 21 Jump Steet , xXx ภาคสอง ส่วนรายต่อมาก็เป็นโปรดิวซ์เซอร์และเจ้าของค่ายเพลง Aftermath Entertainment มีศิลปินในสังกัดอย่าง Snoop Dogg , Eminem , The Game , 50 Cent และ Kendrick Lamar และเป็นนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีจากการขายหูฟังที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง Beats By Dr.Dre นั่นเอง แถมขายหุ้นให้ apple ไปแล้วเรียบร้อย ทั้งคู่ได้ดิบได้ดีตามอัตภาพ นอกจากนี้ยังมี MC Ren และ DJ Yella เป็นสมาชิกแกนหลักของวงด้วย
ชื่อหนังเรื่องนี้ตั้งตามชื่ออัลบั้มแรกที่สร้างชื่อเสียงให้วงอย่างมากมาย และเป็นอัลบั้มฮิพฮอพอัลบั้มแรกๆที่กล้านำเสนอเนื้อหาหยาบคายไม่แคร์สื่อ แอนตี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมกับชาวผิวสีอาชญากรรมบนท้องถนน ยาเสพติด และเพศมารวมอยู่ในงานเพลง ผสมผสานดนตรีที่มีความเป็นฮาร์ดคอ จังหวะสนุกๆ จึงทำให้อัลบั้มชุดนี้กลายเป็นที่โจษจันท์ของคนทั่วโลก และติดอันดับอัลบั้มฮิพฮอพในตำนานจนถึงทุกวันนี้
หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับผิวสีอย่าง F.Gary Gray เคยผ่านงานหนังสุดมันส์อย่าง The Italian Job , The Negotiator และ Law Abiding Citizen และล่าสุดพี่แกกำลังจะได้เป็นผู้กำกับหนังซิ่งรถ Fast 8 ที่จะเข้าฉายในปีหน้าอีกด้วย โปรไฟล์ธรรมดาซะที่ไหน นอกจากนี้เจ้าของประวัติตัวจริงอย่าง Dr.Dre และ Ice Cube มาร่วมเป็นโปรดิวซ์เซอร์อีกด้วย เรียกได้ว่ารู้ลึกแบบไม่ตกหล่นแน่นอน
เข้าพาร์ทรีวิวหนังกันเลยดีกว่า รีวิวนี้วิจารณ์ผสมสปอยล์เน้นๆจะว่าไปแล้วก็เล่าความจริงของวงนี้แหละ ก็หนังมันสร้างจากเรื่องจริงนี่หว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู และอยากรู้หนังเรื่องนี้น่าดูอ่ะเปล่า ไปอ่านที่หัวข้อ *เขตปลอดสปอยล์* ด้านล่างได้เลย แต่ถ้าใครดูแล้วหรือยังไม่ได้ดูแต่อยากอ่านก็เชิญอ่านเลยครัช
*** สปอยล์ว่ะพวก
หนังเรื่องนี้ผมขอแบ่งเป็น 3 พาร์ทเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
Part 1 : The Beginning Of N.W.A
หนังเรื่องนี้โฟกัสไปที่สามสมาชิกหลักๆอย่าง Easy-E , Dr.Dre และ Ice Cube ส่วนสองสมาชิกที่เหลืออย่าง Mc Ren และ DJ Yella หนังให้น้ำหนักค่อนข้างน้อยพอสมควร จึงกลายเป็นแค่ตัวประกอบไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าความยาวของหนังจะมากถึง 147 นาทีก็ตาม แต่หนังอัตชีวประวัติเรื่องนี้ทำออกมาไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แอบใส่ความบันเทิงเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องที่โฟกัสไปที่ Easy-E ไปรับเงินจากแก๊งค์ค้ายา ทำออกมาได้ตื่นเต้นเร้าใจ สมจริง เป็น First Impression ของแท้ ฉาก Dr.Dre ถือเป็นฉากที่แสดงจุดยืนของเฮียเดรชัดเจน ว่าไม่ต้องการทำงานออฟฟิศ ออกเดินทางตามหาฝัน
ฉากที่ Ice Cube โดนแก๊งค์มาเฟียจี้กลางรถบัส บีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ฉากโชว์พรสวรรค์ของ Dr.Dre และ Ice Cube ทำออกมาได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะฉากเล่นดนตรีกลางผับที่ไอซ์ คิวป์ โชว์เพลง Gangsta Gangsta ซึ่งเป็นเพลงที่ข้าพเจ้าโคตรชอบ จนข้าพเจ้าแอบร้องตามเลยทีเดียว ฉากในคลับนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สมาชิกทั้งห้าได้เจอกัน นำมาสู่การรวมวงในที่สุด
หนังก็เพิ่มตัวละครสำคัญอีกตัวนึงนั่นก็คือ Jerry Heller ผู้จัดการวงที่ Easy-E ไปเจอในโรงงานปั๊มแผ่น (รับบทโดย Paul Giamatti) ต่อจากนั้นพยายามใส่ประเด็นตำรวจเหยียดผิวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ Ice Cube โดนตำรวจตรวจค้นยา ทั้งๆที่ไปคุยกับเดรเรื่องงานเพลงเฉยๆ ยัดข้อหาให้ Dr.Dre นอนคุกฟรี 1 คืน ด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ทั้งๆที่ตัวเองกำลังห้ามน้องชายที่กำลังมีเรื่องกับคนในคลับ หรือแม้กระทั่งตอนที่กำลังทำเพลงใหม่ แค่ยืนไปออกข้างนอกเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็หาว่าเป็นแก๊งส์เตอร์ อันธพาลกำลังจะก่ออาชญากรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ชมเห็นว่า ทำไมพวกเขาต้องแต่งเพลงด่าตำรวจอย่าง Fuck Tha Police ด้วย น้ำหนักที่ใส่ลงไปในหนังก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้ชมเริ่มหมั่นไส้ตำรวจที่ชอบเหมารวมพวกผิวสีว่าเป็นคนเลว ค้ายา ซะเหลือเกิน
Part 2 : Rise And Fall (Partนี้ ยาวสุด)
เมื่อเพลง Fuck Tha Police โด่งดัง และอัลบั้ม Straight Outta Compton ออกวางจำหน่าย N.W.A ก็ถูกยกสถานะเป็นแร็พเปอร์ซุปตาร์ทันที อัลบั้มขายดี เดินสายออกทัวร์บ่อยชึ้น เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ และถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ โดยการนำศิลปะที่เรียกว่าเพลงแร็พไม่ยอมอ่อนข้อให้ตำรวจเหยียดผิวอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็ไม่วายโดนตำรวจคอยห้ามปรามไม่ให้เล่นเพลง Fuck Tha Police อยู่เรื่อย แต่นี่คือ N.W.A เว้ย พวกกรูไม่แคร์ โดนจับขังคุก ไปปรับทัศนคติจนได้ ในฉากที่สมาชิกทั้งห้าโดนจับ เราจะเห็นได้ว่า เพลงมีอิทธิพลต่อคนฟังมากๆ แฟนเพลงถึงขั้นไปห้ามปรามตำรวจเลยทีเดียว ผู้ชมได้เห็นรังสีความเป็นฮีโร่ขึ้นมาทันที ทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากเอาใจช่วยพวกเขาจริงๆ อัลบั้ม Straight Outta Compton จึงเป็นจุดพีควงการบันเทิงของห้าหนุ่มเมืองคอมป์ตัน
มีแฟนคลับก็ต้องมีแฟนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา ในช่วงนั้น N.W.A โดนโจมตีรอบด้าน ไม่ได้โดนโจมตีจากตำรวจเพียงอย่างเดียว แต่ยังโดนสื่อประโคมข่าวด้วย จะเห็นได้ว่าคนดำไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ในสายตาชาวมะกัน ชาวมะกันบางคนก็หูเบาโดนสื่อกรอกหูทุกวัน อดรนทนไม่ไหวเอาซีดีของวงที่ซื้อมาไปทำลายทิ้งซะงั้น จน Easy-E เหน็บคนพวกนี้แบบแสบๆว่า มึงทำลายแผ่นก็เท่านั้น ไม่ได้เงินคืนจากพวกกรูอยู่ดี ซึ่งก็จริง 5555
หนังเริ่มขยายสเกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้จำกัดแค่จุดพีคในวงการบันเทิง และการทำหน้าที่เป็นแอนตี้ฮีโร่เพียงอย่างเดียว หนังเริ่มแหย่ประเด็นด้านมืดของชื่อเสียง อำนาจเงินตรา และวงแตก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่หลงระเริงกับชื่อเสียง ใช้เงินไปกับยาเสพติด กัญชา นารี ปาร์ตี้แทบทุกวัน
แทรกประเด็นดราม่าที่ Dr.Dre ที่ดันลืมสัญญาที่ได้ให้กับน้องชายตัวเองไว้ว่าจะไปเที่ยวสนุกสนานด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ดันลืม มารู้สึกผิดทีหลังตอนที่น้องชายตายแล้ว ในฉากนี้เราจะได้เห็นมิตรภาพของสมาชิกในวงที่คอยปลอบประโลม Dr.Dre และสัญญาว่าจะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกัน (จริงเหรอ) ต่อจากนั้นก็เพิ่มประเด็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นระยะๆ ซึ่งคนที่เริ่มเห็นว่า Jerry Heller และ Easy-E กำลังเอาเปรียบเรื่องผลประโยชน์ของสมาชิกของวงนั่นก็คือ Ice Cube จนสุดท้าย Ice Cube เองเลือกที่จะปลีกตัวออกจากวงแทน เพื่อไปทำงานเพลงโซโล่เดี่ยว เพราะเห็นว่า Jerry นั้นกำลังปั่นหัวทุกๆคนอยู่ ฟังดูแล้วไอซ์ คิวป์ ไม่น่าจะมีปัญหาขัดแย้งกับสมาชิกของวง เพราะรู้อยู่ดีว่า Jerry ต่างหากเป็นตัวปัญหาที่กำลังแอบตักตวงผลประโยชน์อย่างเงียบๆ ถึงจะออกจากค่ายเก่าแล้ว ไปอยู่ค่ายใหม่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่ดีครับ ไม่จ่ายเงินตามสัญญา ทั้งๆที่อัลบั้มฮิตติดชาร์ตอันดับต้นๆของ Billboard 200 กระแสงานเพลงที่กำลังไปได้สวยก็จริง สมาชิกวง N.W.A ที่เหลือก็เริ่มอิจฉาออกผลงานอีพี 100 Miles And Runnin' มาข่ม Ice Cube ที่ออกจากวงไปอย่างน่าตาเฉย มหากาพย์ Diss กันไปมาจึงเริ่มปะทุขึ้น Ice Cube เลยไม่น้อยหน้าปล่อยอัลบั้ม Death Certificate โดยมีซิงเกิ้ลเพลง No Vaseline ออกมาจวกอดีตสมาชิกของวงกลับ เหยียดชาวยิว จนทำเอาเพื่อนร่วมวงเก่าแทบเสียศูนย์ Jerry เกือบแจ้งความเอาเรื่องเลยทีเดียว เป็นฉากที่พีคอีกฉากนึง ผมนี่จดจ่อกวาดสายตาอ่านซับไทย ด่าได้มันส์โคตร ณ จุดนี้ N.W.A เลยออกอัลบั้มชุดที่สอง Niggaz4Life ตามมา เราจะได้เห็นจุดแตกหักของ N.W.A มากขึ้นเรื่อยๆ Dr.Dre เริ่มเห็นความไม่ชอบมาพากลของสัญญาของ Jerry สัญญาที่อีซี่ย์เคยให้ไว้ตอนที่น้องชายของเดร กลับกลายเป็นแค่ลมปาก เพราะเห็นแก่เงิน จึงเป็นเหตุให้ Dr.Dre ต้องปลีกวิเวกออกไปทำค่ายเพลงร่วมกับ Suge Knight นักเลงคอมป์ตันโดยกำเนิด ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของค่ายเพลงสุดอื้อฉาวนามว่า Death Row Record ที่มีศิลปินในสังกัดอย่าง 2Pac , Snoop Dogg รวมไปถึง Dr.Dre เองด้วย
ในช่วงตั้งค่ายใหม่ๆเราจะเห็นได้ว่า Suge Knight เหี้ยมากๆ ขอใช้คำนี้เลยครับ เล่นสกปรกกับศิลปินค่ายอื่น ตั้งตนเป็นมาเฟีย นิสัยมือไม่พายเอาเท้าราน้ำด้วยครับ ยังไงหรอ เป็นปลิงเกาะ Dr.Dre ไงล่ะครัช Dr.Dre ทำงานเพลงแทบตาย เสือกผลาญเงิน แถมขู่ Easy-E ให้ออกค่าย Ruthless อีกด้วย ซึ่งในชีวิตจริงก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มีวีรกรรมหลายอย่างเลยล่ะครัชสำหรับ Suge Knight ในช่วงตั้งค่าย Death Row Record หนังได้เพิ่มสองตัวละครรับเชิญซึ่งมีอยู่จริงบนโลกใบนี้อย่าง Snoop Dogg และ Tupac ด้วย ซึ่งใครที่เป็นสาวกฮิพฮอพที่ได้ดูคงยิ้มร่าอยู่ไม่น้อยทำให้เราคิดถึงฮิพฮอพยุค 90 ทันที ซึ่งยุคนี้ถือเป็นยุคทองของดนตรีฮิพฮอพอย่างแท้จริง
หนังเลือกที่จะโฟกัสการทำงานโซโล่อัลบั้มเดี่ยวของ Dr.Dre ที่มีชื่อว่า The Chronic เป็นอัลบั้มฮิพฮอพสุดคลาสสิค ต้นกำเนิดฮิพฮอพแนว G-Funk อันเป็นดนตรีท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของฮิพฮอพฝั่ง West Coast โดยในหนังได้เผยการทำงานเพลงของ Dr.Dre กับ Snoop Dogg ซึ่งทั้งคู่ได้โชว์ศักยภาพก่อให้เกิดซิงเกิ้ลฮิพฮอพในตำนานอย่าง Nutin' But A "G" Thang ข้าพเจ้าอดใจไม่อยู่ แอบแร็พตามเลยล่ะ เพลงมันเจ๋งนี่หว่า แต่น่าเสียดายครับ ที่หนังไม่ได้โฟกัสไปที่การทำเพลง Diss อดีตเพื่อนร่วมวงอย่าง Easy-E ถ้าใครเป็นแฟนเพลงฮิพฮอพจะเห็นได้ว่า มีเพลงเหน็บแนม Easy-E รวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ทำให้ผมมองเห็นว่า หนังยังจี้ประเด็นมิตรภาพแตกหักระหว่าง เดร กับ อีซี่ ยังไม่เพียงพอและไม่สุด ซึ่งอาจจะทำให้แฟนเพลงฮิพฮอพนั้นรู้สึกว่าเหมือนขาดประเด็นสำคัญบางอย่าง แถมมีฉากนึงที่อีซี่ย์เห็นป้ายบิลบอร์ดโปรโมทอัลบั้ม The Chronic แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ผมว่ามันแปลกๆนะ โดนด่าซะขนาดนั้น ยังยิ้มได้อยู่รึเนี่ย
ต่อมาหนังได้เพิ่มตัวละครประกอบเพิ่มมาอีกหนึ่งคนซึ่งนั้นก็คือ 2Pac นั่นเอง คนที่แสดงเป็นทูแพ็ค หน้าตาเหมือนโคตรๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเทคโนโลยีกราฟฟิคปรับแต่งหน้ารึเปล่า หน้าเหมือนจริงๆ เราจะได้เห็นทูแพ็คและเดรกำลังอัดเพลง Hail Mary และ California Love ซึ่งข้าพเจ้าก็อดจะแร็พตามไม่ได้เช่นกัน Dr.Dre เริ่มเห็นสันดานเหี้ยๆของ Suge Knight เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้เงินแหลกราญ เกาะเพื่อนกิน แถมมีนิสัยที่เป็นอันธพาลจอมโหด Dr.Dre เริ่มทบทวนตัวเองและทำตัวออกห่างจาก Suge Knight เลยตัดสินใจออกจากค่าย
Easy-E ก็เช่นกันหลังจากที่มืดหน้าตามัวอยู่ตั้งนานว่า โดน Jerry หลอกแดก จึงตัดสินใจออกจากค่ายเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่า Easy-E เริ่มมีชีวิตที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จากที่เคยใช้ชีวิตหรูๆ ก็ต้องขายทิ้ง จนแทบจะไม่เหลืออะไร แต่ยังโชคดีที่ยังมีแฟนสาวคอยชี้ทางสว่างให้ อีซี่ย์เริ่มคิดถึงอดีตเพื่อนร่วมวงมากขึ้น โทรติดต่อหาเพื่อนเก่า Dr.Dre และตัดสินใจเดินเข้าไปหา Ice Cube เป็นคนแรก เพื่อรียูเนี่ยน N.W.A อีกครั้ง
Part 3 : The End Of N.W.A (R.I.P Easy-E)
ฉากที่ Easy-E คุยกับเพื่อนเก่าไม่ว่าจะเป็น ดร.เดร กับ ไอซ์ คิวป์ ถือเป็นฉากที่ผมประทับใจมากๆครับ ที่ได้เห็นมิตรภาพที่ดีงามหลงเหลืออยู่ และการให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นฉากที่ซาบซึ้งมากๆครับ เรื่องรียูเนี่ยนวงกำลังไปได้สวย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับ Easy-E เข้าอย่างจัง เมื่ออีซี่ย์กลับล้มป่วยหมดสติ และผลการตรวจโรคก็พบว่า ติดเชื้อ HIV ว่าง่ายเป็นโรคเอดส์นั่นเอง เป็นฉากที่สะเทือนใจคนดูมากๆครับ มิตรภาพกำลังลงรอยแท้ๆ แต่หัวหน้าวงตัวจริงมีชีวิตอยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนที่ดร.เดรมาเยี่ยมไข้ เป็นฉากที่เศร้าสุดๆเลยครับ และแล้วอีซี่ย์ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 31 ปี ในหนังได้เอาภาพเหตุการณ์จริงที่แฟนเพลงร่วมจุดเทียนไว้อาลัย ถึงผมรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร ก็เศร้าอยู่ดีครับ
หนังปิดท้ายด้วยการที่ Dr.Dre ไปค่าย Death Row Record แล้วไปบอกลา Suge Knight ต่อไปนี้กูจะเป็นนายของตัวเองแล้ว Suge Knight ถามต่อไปว่า เอ็งจะไปทำอะไรต่อ ดร.เดรสวนกลับ ไปตั้งค่ายเพลงเป็นของตัวเอง ชื่อค่ายมึงชื่ออะไร ซูสถามต่อ ดร.เดรตอบคำถามสุดท้ายว่า Aftermath แล้วเดินจากไปอย่างเท่ๆ
*เขตปลอดสปอยล์ รีวิวเพียวๆ*
ในฐานะที่ผมเป็นแฟนเพลงฮิพฮอพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมรู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากๆครับ เป็นหนังที่นำเสนอความเป็น Rise And Fall ได้ครบเกือบทุกด้านเลยครับ นอกจากนี้ยังทำให้ผมรู้ประวัติศาสตร์ฮิพฮอพและด้านมืดของวงการฮิพฮอพในแบบที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วย ประทับใจที่หนังเลือกที่จะเพิ่มตัวละครที่เป็นแร็พเปอร์ในตำนานอย่าง Snoop Dogg และ 2Pac มาให้เราระลึกถึงอีกด้วย ถือเป็นการสนองความต้องการของแฟนเพลงฮิพฮอพรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริงเลยล่ะครัช ถึงหนังอาจจะขาดดีเทลสำคัญบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำงานเพลงเดี่ยวของ Easy-E และ การที่ Dr.Dre แต่งเพลงด่า Easy-E แต่ด้วยเรื่องของข้อจำกัดของเวลาที่ไม่สามารถนำเสนอ Fact ออกมาได้เต็มที่ เป็นสิ่งที่ยอมกันได้ครับ
ชอบที่หนังไม่ได้จำกัดแค่ จุดพีคของ N.W.A เพียงอย่างเดียว แต่หนังขยายขอบเขตไปมากกว่านั้น เข้าถึงความเป็น Rise And Fall ได้อย่างแท้จริง หนังนำเสนอด้านมืดของชื่อเสียงได้อย่างถึงแก่น อาจจะไม่มากเท่ากับหนังดราม่ารางวัลออสการ์ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราได้อิ่มไปกับข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าตอนแรกคุณจะเป็นแอนตี้ฮีโร่ที่แต่งเพลงก่อกบฎกับอำนาจไม่ชอบธรรมของตำรวจ แต่ก็อุดมการณ์ที่มีอยู่เดิมก็หมดหายไป เพราะเลือกเดินผิดทาง แทนที่จะแต่งเพลง รวมพลังกันเพื่อออกผลงานเพลงให้แฟนเพลงได้ฟังกันต่อไปตามเจตนารมย์ที่เคยตั้งไว้ แต่กลับมืดหน้าตามัวไปกับอำนาจของเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ที่ทำลายมิตรภาพได้มากถึงขนาดนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีให้กับศิลปินในวงการรุ่นหลังๆหรือคนที่กำลังเป็นใหญ่เป็นโตในสังคม ว่าคุณไม่ควรใช้ชีวิตหลงระเริงกับชื่อเสียงจนเกินไป จนหลงลืมอุดมการณ์ที่เคยให้ไว้กับคนอื่น ลืมคนสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น คนในครอบครัว และ ผองเพื่อนที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกัน สุดท้ายถ้าคุณใช้ชีวิตไม่ระมัดระวัง คุณอาจจะมีจุดจบแบบในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงเลยนะครัช
อีกอย่างที่ผมขอชื่นชมทีมโปรดิวซ์เซอร์และผู้กำกับของหนังคือ เค้าแคร์กลุ่มคนดูทั่วไปที่ไม่ใช่คอเพลงฮิพฮอพอยู่พอสมควร ทำหนังออกมาให้คนดูหนังทั่วไปได้เข้าใจง่าย ไม่ยากจนเกินไป ตรงไปตรงมา และมันอาจจะทำให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวแอบติดใจแนวเพลงนี้ แล้วไปตามฟังผลงานเก่าๆของพวกเขาเลยก็ว่าได้ ถือเป็นหนังที่อาจเปิดประตูให้กับคนดูทั่วไปได้เปิดใจกับเพลงแนวนี้ก็เป็นไปได้ครับ และสิ่งที่คนดูทั่วไปได้จากหนังเรื่องนี้ไปเต็มๆนั่นก็คือ ความบันเทิง และ สาระเต็มๆ ผมเชื่อว่ากลุ่มคนดูทั่วไปดูเรื่องนี้แล้วอิ่มแน่นอนครับ นำเสนอได้อย่างซื่อสัตย์กับคนดูสุดๆครับ
จบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้
FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น