เจอทางสว่าง
ตามที่สัญญากันไว้ว่า ภายใต้ Hashtag #turnbackto2010 ผู้เขียนจะนำรีวิวอัลบั้มปี 2010 มาให้แฟนเพจทุกคนได้อ่านย้อนวันวานกัน อัลบัมแรกเป็น My Beautiful Dark Twisted Fantasy อัลบั้มมาสเตอร์พีชของ Kanye West ก็ผ่านพ้นไปแล้ว มาถึงอัลบั้มชุดที่สองเป็นของแร้พเปอร์ซุปตาร์ซึ่งเป็นดาวค้างฟ้า ณ ปัจจุบันนี้อย่าง Eminem มาพร้อม studio album ชุด 7 อย่าง Recovery อีกหนึ่งอัลบั้มที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วงนั้นเลยครับ การันตีด้วยยอดขายถึง 741,000 copies ในสัปดาห์แรก ยึดอันดับ 1 แทบทุกชาร์ตและหลายๆประเทศได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ซะด้วย จนกลายเป็นแชมป์อัลบั้มที่มียอดดาวน์โหลดดิจิตอลอัลบั้มสูงสุดตลอดกาล ก่อนที่ Adele จะโค่นแชมป์ด้วยอัลบั้ม 21 ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังกวาดรางวัลอัลบั้มยอดฮิตมาตั้งหลายงานหลายสถาบันนักวิจารณ์ซะด้วย แถมได้รางวัลทรงคุณค่าแกรมมี่สาขา Best Rap Album มานอนกอดได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของป๋าได้อย่างสุดยอดจริงๆ อัลบั้มนี้ยังได้มันสมองหลักอย่าง Dr.Dre มาเป็น Executive Producer อีกเช่นเคย พ่วงด้วย Mr.Porter และ Just Blaze มาร่วมเขียนเพลงและโปร์ดิวซ์ให้ อาจฟังดูซ้ำซาก หน้าเดิมๆ แต่แนวเพลงในอัลบั้มนี้โดยรวมถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวเอามากๆ เกือบทั้งอัลบั้ม แปลกใหม่ และ มันส์ขึ้น ส่วนเรื่องหน้าปกอัลบั้มเป็นอะไรที่เรียบง่าย เดินบนถนนอย่างเท่ๆ บ่งบอกคอนเซปต์อัลบั้มที่ไปในทางสว่างมากขึ้น เดินออกโรงบำบัดยาได้อย่างภูมิใจว่า กูกลับมาแล้วโว้ยยย
เปิดแทร็คด้วย Cold Wind Blows สนุกครื้นเครง ทา ดัม ทา ดัม ทัม ดา ทัม ดูมีความเป็นอัลเทอเนทีฟฮิพฮอพมากขึ้น ส่วนเนื้อหาก็เหน็บแนม celeb หน้าเดิมๆอย่าง Mariah Carey , Elton John ยังไม่ทิ้งสไตล์เดิม แต่เพลงนี้ผมว่า ยังเหน็บแนมไม่แสบสันต์พอเท่ากับสมัยก่อน อาจจะเป็นเพราะป๋าแกอายุมากขึ้นละมั้ง ต่อด้วย Talkin' 2 Myself (feat. Kobe) เป็นการบอกการกลับมาได้ดีมากๆครับ เพลงเท่ ได้ Kobe มาร้องเสริมความเข้มและสุขุมมากขึ้น เบสตึบได้ใจ เนื้อหาดีมากๆ ซึ่งเพลงนี้เองป๋าเองก็ได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ทั้งเหงาเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเหมือนไม่มีคนมาสนใจ และ รู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมวงการ ฮิพฮอพอย่าง Lil Wayne , T.I และ Kanye West จนเกือบแต่งเพลง Diss ซะแล้ว แต่โชคดีที่เขาใจแข็งพอที่จะไม่ทำ (จริงอ่ะเปล่าเนี่ยไม่รู้)
On Fire มาโทนดาร์กนิดๆ แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆมากกลับเพลงนี้ แต่ก็พอฟังได้ ถ้าไม่ฟังหรือข้ามไปเพลงอื่นก็ได้ครับ ถือว่าไม่พลาดอะไรมากมาย มันส์ต่อเนื่องด้วย Won’t Back Down (feat. Pink) เปิดด้วยโซโล่เท่ๆมันส์ๆ นี่มันแร็พ Heavy metal ชัดๆ hard core มันส์ๆตั้ง3ท่อน แร็พตะโกน ไม่หวั่นคอแตกเลยทีเดียว แต่ใช้แขกรับเชิญอย่างสาวร็อค P!NK ไม่ค่อยคุ้มซะเท่าไหร่ น่าจะให้ร้องมากกว่านี้ เลยดูเหมือนว่าไม่ต้องใส่ชื่อ feat P!NK เติมก็ได้
W.T.P. มันส์กันต่อด้วยเพลวจังหวะหนักๆ beat เบสหนักได้ใจ คงความเถื่อนแบบสไตล์ Gangsta นิดๆ เนื้อหากลิ่นอายแบบ party รถเทลเลอร์ พอผมฟังท่อนฮุคแล้วก็พอรู้ว่า มันย่อมาจาก White Trash Party นั่นเอง Going Through Changes เบรคด้วยเพลงช้าๆ แปะsample เพลง changes ของ Black Sabbath เข้ากันได้ดีมากทั้งองค์ประกอบเพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวกับการกลับตัวกลับใจ และสู้กับตัวเองของป๋าเอ็มที่พยายามจะเลิกยานอนหลับให้สำเร็จ ป๋าแกก็ได้แต่งเพลงให้ลูกสาวแกด้วย นี่แหละคือเหตุผลที่พี่แกนั้นยังลุกขึ้นสู้ต่อไป ไม่งั้นคงไม่มีเอมิเน็มมาถึงทุกวันนี้
VIDEO
I'm not afraid to take a stand
Everybody come take my hand
We'll walk this road together, through the storm
Whatever weather, cold or warm
Just let you know that, you're not alone
Holla if you feel that you've been down the same road
เข้าสู่ช่วงกลางอัลบั้มด้วยซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดนี้ Not Afraid ขอพูดถึงเพลงนี้ยาวหน่อยนะครับ เพราะเป็นเพลงที่สามารถบอกคอนเซปต์อัลบั้มนี้ได้ดีที่สุด แสดงจุดยืนชัดเจนว่า กูจะแร็พแบบไม่แคร์สื่ออีกต่อไป แถมมาทวงบัลลังก์คืนด้วย หลังจากปล่อยให้ Lil Wayne นั้นได้ดิบได้ดีอยู่นาน ดูจากเพลงนี้แล้วผมเลยคิดว่า ทั้งสองคนนี้กลับตกอยู่ในช่วงตกที่นั่งลำบากอยู่เหมือนกัน Lil Wayne ติดคุก ส่วนป๋าเอ็มเข้าสถานบำบัด เพลงมันส์ดีครับ ส่วนเอ็มวี ตอนแรกก็ เอ้ย ยืนอยู่บนตึกโคตรเท่ แต่ตอนท่อนสามนี่ เอิ่ม นั่นมัน Hancock ชัดๆ
สารภาพว่าตอนที่แอดมินเจอปัญหาหลายเรื่องรุมเร้าเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ผิดหวังจากความรัก แอดมินฟังเพลงนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองครับ ว่าเราจะไม่ยอมสูญเสียตัวตนของตัวเองเด็ดขาด ถือเป็นเพลงที่เอมิเน็มไม่ได้แต่งเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแต่งให้กำลังใจกับผู้ฟังด้วย Eminem เองก็เจอปัญหาหลายอย่างทั้ง ติดยาไม่เป็นอันทำงาน จนต้องเข้ารับบำบัด สูญเสียเพื่อนรักอย่าง Proof รวมไปถึง ล้มเหลวในชีวิตคู่กับภรรยาเก่าด้วย จนเป็นแรงผลักดันให้แต่งเพลงนี้เพื่อทวงความเป็นราชาเพลงแร็พกลับคืนมา ที่ผม copy paste ท่อนฮุกเพลงนี้ เพราะมันมีความหมายที่ทรงพลังและหนักแน่นสุดๆ ติดหูและซึมซับเข้าไปในใจของผู้ฟังเต็มๆ สุดยอดดด ผู้อ่านสามารถเอาเพลงนี้ไปใช้เป็น แรงบัลใจในการใช้ชีวิตได้นะครับ
Seduction เข้าสู่โทนดาร์ก R&B ถือว่าเป็นเพลงที่ฟังยากอยู่เหมือนกาน ผมฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกชอบ เลยข้ามไปเพลงต่อไปซะงั้น แต่พอได้ฟังในที่เงียบๆ ก็โอเคดีครับ ตอนนั้นผมอาจจะฟังแบบฉาบฉวยก็เป็นไปได้ เนื้อหาก็โคตรจะโจ๋งครึ้มเลยล่ะนะ
VIDEO
No Love (feat. Lil Wayne) ชิงเกิ้ลที่สาม โทนออกแนวจริงจังเอามากๆ สมชื่อเพลงเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัดพ้อถึงเมียเก่าของป๋าแกหรอกนะครับ จะบอกเล่าเกี่ยวกับ ชีวิตในวัยเด็กของ Lil Wayne และ Eminem ที่ถูกรังแก กลายเป็นเด็กเก็บกดไปเลย แต่งเพลงนี้มาก็เพื่อเอาคืนไอ้พวกนั้นโดยเฉพาะ ผมเรียกเพลงนี้ว่า เพลงของเด็กเก็บกด แปะ sample ด้วยเพลง What Is Love ของ Haddaway แทรกระหว่างเพลงได้อย่างลงตัว ตบด้วยบีทหนัก แร็พเอื่อยๆเมากัญชาของ weezy และต่อด้วยท่อนแร็พรัว กระแทกกระทั้น และโคตรเร็วของป๋าเอ็ม จุดเสียที่ทำให้ผมนั้นไม่ให้เต็มสิบนั่นอาจจะเป็นเพราะ verse ของอีตา weezy เนี่ยแหละ ที่ดูไม่เข้ากันซะเลย คนละสไตล์กันชัดๆ เรียกได้ป๋าเอ็มเราแย่งซีนไปเต็มๆครับงานนี้ ถ้าใครไม่ชอบตา Weezy จริงๆ เลื่อนไปที่ 2:42 เลยจะดีกว่า เพราะนั่นแหละครับจะได้รู้ว่า เทพตัวจริงคือใครกันแน่ ตอบหน่อย เหตุผลที่เลือก Lil wayne มานั้นอาจจะเป็นเพราะว่าพี่แกนั้นเคยโดนแกล้งเหมือนป๋าเอ็มรึมั้งครับ จึงถ่ายทอดได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ก็พี่แกก็มาเป็นแขกตอบแทนให้ ตอนที่ร่วมงานกันในเพลง Drop the world แน่เลย ป๋านั้นก็แร็พปล่อยของออกมาเต็มที่ เหมือนยังโกรธไม่หายเลย สะใจวุ้ย อดรีนาลีนพุ่ง
VIDEO
ต่อด้วยซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มนี้ Space Bound ที่ผมดีใจมากๆที่ตัดเป็นซิงเกิ้ล ผมฟังกี่รอบก็ไม่มีวันเบื่อเลย เผลอๆผมชอบมากกว่าซิงเกิ้ลสุดฮิตในอัลบั้มนี้ซะอีก เต็มร้อยไปเลย เป็นแร็พที่ป็อบเอามากๆ อคูสติกช้าๆ แร็พที่ไม่กระแทกกระทั้นมากไป เข้ากันได้ดีมากๆ ท่อนฮุคเสียงสูงที่ร้องโดย Steve McEwan ช่วยเสริมเพลงนี้อย่างแรงและกล่อมกล่อมมากๆ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมอยากแนะนำสำหรับใครที่ชอบฮิพฮอพผสมป็อบ ต้องมีไว้ในมือถือ
เนื้อหาก็ตัดพ้อคนรักเก่าซะด้วย ในเอ็มวีก็เป็นที่ถกเถียงเยอะอยู่พอสมควร โดยเฉพาะฉากที่ป๋าเอ็มนั้นยิงตัวตายเนี่ยแหละครับ เกิดดราม่าจนได้ กลัวคนจะทำตามอ่ะดิ
Cinderella Man ต่อด้วยเพลงหนักๆมันส์ๆ ที่ใครหลายๆคนมองข้าม แต่ผมรู้สึกว่าก็เจ๋งดีนะ มันส์ดีออก เพลงนี้เฮียแต่งให้กับ Script Shepherd หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มและผู้ร้องประสานเสียงในเพลงนี้ ที่ต้องเสียพี่ชายไปจากการถูกคนร้ายแทงต่อหน้าคุณแม่ของเขา เจ๋งทั้งแร็พเปอร์และเนื้อหาเลยนะเนี่ย
25 to Life เพลงเปรียบเปรยเหมือนชีวิตนั้นติิดกับเหมือนโดนจำคุกตลอดชีวิต 25 ปี เลยทีเดียว (โทษสำหรับอาชญากรเบอร์หนึ่ง) ในที่สุดพี่แกก็เป็นอิสระแล้ว (ใช้โทษหมดแล้ว) และยังแต่งเปรียบเปรยถึงแนวเพลงฮิพฮอพที่เขารักด้วย ได้เสียงสูงของ Liz Rodrigues ช่วยให้เพลงนั้นดูซอฟต์ลง แต่ท่อนแร็พนั่นดูไม่ซอฟต์เอาเสียเลย ถ้าเทียบกับ Space Bound แล้ว เพลงหลังทำได้สมูทกว่าครับ
So Bad เหมือนกับเฮียแกจะพยายามคงสไตล์เก่าๆที่มาแบบป่วนๆให้ได้มากที่สุด แต่ความพยายามนั้นก็ดูจะไม่ได้ผลซะเท่าไหร่สำหรับเพลงนี้ครับ ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดามากๆ ดีนะที่ดนตรียังช่วยเพลงนี้ ไม่ให้ดูกลวงจนเกินไป บอกไปเลยว่า กูมันเลวอยู่แล้ว ก็แค่นั้น
Almost Famous intro มาตอนแรกถึงกับงงมากๆ เหมือนเอาฉากนึงของหนังเรื่องนึงมา แต่ผมว่าดูไม่ค่อยลงตัวซะเท่าไหร่ แปลกๆ แต่ rap โคตรฮาร์ดคอมากๆ แต่ผมว่ายังสู้ Won't Back Down ไม่ได้เท่าไหร่ เพลงนี้ยังได้ Liz Rodrigues มาช่วยร้องท่อนฮุคให้ แต่ไม่โดดเด่นเลย เป็นเพลงหนักที่ฟังยากอยู่เหมือนกานฮะ
VIDEO
Love the Way You Lie (feat. Rihanna) มาถึงแล้วสำหรับซิงเกิ้ลสุดฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง จะไม่ให้ได้รับความสนใจได้ไงล่ะ แขกรับเชิญเป็นถึงซุปตาร์อย่าง Rihanna มาร่วมแจมด้วย และได้เจ๊ Skylar Grey มาช่วยแต่งเพลงนี้ด้วย intro เปียโนโดดเด่นอย่างแรง เป็นเพลงที่ผมคิดว่า soft สุด เข้าถึงง่ายที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ ตอนเห็นแทร็คนี้ใน list อัลบั้มใครแรก ถึงกับตื่นเต้นเลยทีเดียว เนื้อหาก็พูดถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหลอกลวงซะด้วย mv นางเอกก็ได้แม่สาวสุดจี๊ดอย่าง Megan Fox และ พระเอกอย่าง Dominic Monaghan มาเล่นเอ็มวีซะด้วย ขอบอกว่าใครที่ยังไม่ได้ดู mv นี้ ถามจริงเหอะ ไปอยู่ไหนมา ป๋าแกคงอยากจะเอาใจคอ pop culture ดูบ้าง และก็ได้ผลครับ เรียกแฟนเพลงที่ไม่ใช่เอมิเนมมายื่นใบสมัครเยอะอยู่ ผมขอโม๊ว่าผมฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เพลงนี้ยังไม่release อัลบั้มนี้ซะด้วยซ้ำ แอบไปดาวน์โหลดเถื่อน อิอิ พอเพลงนี้ฮิตปุ๊บ ก็รู้สึกเบื่อทันที 555 แต่จริงๆแล้วถ้าใครเป็นแฟนเพลงตัวยงของป๋าเอ็มบางคน คงเห็นว่าเพลงนี้ดูธรรมดาไปหน่อย คงรู้สึกไม่ต่างจากผมหรอกครับ ใครที่อยากจะแร็พอวดเพื่อน ใช้เพลงนี้ไปแร็พโชว์ได้สบาย เพราะเค้ารู้จักเพลงนี้ 555
You’re Never Over ปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลงแร็พบัลลาดที่แต่งให้ Proof แห่ง D12 เพื่อนที่สนิทที่สุดของ Shady ที่ถูกยิงตายอย่างน่าสลด เนื้อหาก็ฟังดูซาบซึ้งอยู่เหมือนกานนะ ปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างดีครับ
Recovery เป็นการกลับมาที่ดูดี สุขุมขึ้น และยังเก๋าเกมส์แร็พอีกเช่นเคย หลังจากที่สองอัลบั้มก่อนหน้านั้น ไม่ค่อยถูกใจแฟนเพลงและนักวิจารณ์ซะเท่าไหร่ ปรับเปลี่ยนโน่น ปรับเปลี่ยนนี่อยู่นานพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นงานแร็พที่ดูป็อปที่สุดตามที่เอมิเนมบอกจริงๆ ตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มออกมา ผมฟังอัลบั้มนี้อยู่หลายรอบพอสมควรตอนฟังจนเบื่อเลย 555 แต่ไม่เป็นไรครับ แต่เพื่อแฟนเพจทุกคนที่ติดตามเพจผมมาตลอด ผมเลยอยากให้บทความรีวิวที่ผมเขียนทิ้งไว้เป็นมรดกตกทอดให้แฟนเพลงสากลได้อ่านกันต่อไป 5555
Recovery ไม่ได้แปลว่าการเอาคืนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบอกตัวเองว่า กูหายป่วยหายเศร้า หายทุกข์ และหายกลัวแล้วนะ กูพร้อมจะกลับมาทำในสิ่งที่กูรักที่สุดนั่นก็คือ การเป็นศิลปินฮิพฮอพ แต่งเพลง สร้างความบันเทิงและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผู้คนด้วยศิลปะที่เรียกว่า บทเพลง ต่อไป ถึงแม้ว่าบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้จะสูญเสียสไตล์เก่าที่เราคุ้นเคยในสามอัลบั้มแรกของเอมิเน็ม
แต่เอมิเน็มไม่เคยสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอย่างแน่นอน
Top Track : Not Afraid , Space Bound , No Love (Only Eminem's Verse) , 25 To Life , Talkin' 2 Myself
Give 8.5/10
Thanks For Reading
See Ya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น