วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

[รีวิวอัลบั้ม] ANTi - Rihanna

ขวางโลกตัวแม่




เปิดศักราชใหม่ด้วยอัลบั้มใหม่ล่าสุด ANTi ของซุปตาร์สาวป็อบ-อาร์แอนด์บีสุดแร๊งงงที่ทั้งโลกรอคอย Rihanna หรือเจ๊ห่านของพวกเรานั่นเอง ชื่ออัลบั้มชุดนี้สื่อถึงภาพลักษณ์ของเจ้าของอัลบั้มที่เป็นสาวขวางโลก ไม่แคร์สื่อสมชื่อ โดยอัลบั้มชุดนี้ทิ้งช่วงจากอัลบั้มชุดที่แล้ว Unapologetic ประมาณ 4 ปีด้วยกัน ซึ่งถือว่านานพอสมควรสำหรับสาวคนนี้ อย่างไรก็แล้วแต่ เวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่ทันไรเราก็ได้ฟังผลงานชุดใหม่ของเธอแล้ว


ก่อนที่เธอจะปล่อยอัลบั้มนี้ออกมา เจ๊ห่านของเราก็ปล่อยเพลงออกมาให้ฟังกันแก้เหงาด้วย ไม่ว่าจะเป็น
FourFiveSecond เพลงแนวคันทรี่รวมดาวได้ Kanye West กับ Paul Mcartney ปล่อยมาตอนต้นปี  สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงมากพอสมควร เพราะไม่น่าเชื่อว่า สามคนที่มีสไตล์ต่างกันสุดขั้วจะมาแจมกันในเพลงเดียวได้ ที่แปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือแนวเพลงที่ไปในทางโฟล์กคันทรี่ ขัดกับภาพลักษณ์ของสาววัยยี่สิบเจ็ดปีรายนี้ ตามมาติดๆด้วย American Oxygen ที่เอาใจนักวิจารณ์ซะเหลือเกิน กลางปีก็มี Bitch Better Have My Money มาในแนวฮิพฮอพอาร์แอนด์บีตามสไตล์ถนัด ยังคงเป็นสาวซ่าที่ชื่อรีฮานน่าอยู่เหมือนเดิม สามเพลงที่ว่านี้ดูเหมือนว่าเธอผู้นี้กำลังเพิ่มระดับความยากในงานเพลงขึ้นไปเรื่อยๆ จากปกติที่เป็นเจ้าแม่เพลงแดนซ์ แต่ดูทรงแล้วทิศทางเพลงของสาวชาวเกาะรายนี้น่าจะเปลี่ยนไปแล้วล่ะ ANTi ก็เช่นกันครับ เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มชุดนี้ฟังยากกว่าเดิม เพลงมีวี่แววจะฮิตติดชาร์ตติดอันดับสูงๆได้ยาก ไม่ใช่ว่าเพลงนั้นมันไม่ดี เพียงแต่ไม่มีแรงกระเพื้อมพอที่จะตีตลาดคอเพลงเมนสตรีมได้ 


เปิดอัลบั้มด้วย Consideration ที่เธอขอดึง SZA แร็พเปอร์หญิงค่าย Top Dawg Entertainment มาร่วมแจมด้วย เป็นการร่วมงานที่ไปด้วยกันได้ เพราะมีสไตล์การร้องที่คล้ายๆกัน สไตล์การร้องเย้ยหยันของห่านเคล้ากับบีทแตกๆ แล้วเบรคด้วยเสียงร้องเอื้อนๆของ SZA เป็นตัวเบรคในท่อนฮุก ต่อด้วยแทร็คสั้นๆ James Joint ออกแนวล่องลอย เดาออกได้ว่าเธอผู้นี้ได้แรงบันดาลใจจากการดูด Weed อย่างแน่นอน เพิ่มความชิคด้วย Kiss It Better  ริฟกีตาร์โดดเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล ติดหูตั้งแต่แรกที่ได้ฟัง ผมเชื่อว่าทุกคนต้องชอบเพลงนี้ ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ชอบสุดคือท่อน Pre Hook



ตามมาติดๆด้วย Work ซิงเกิ้ลแรกที่กลับมาในสไตล์ที่แฟนเพลงคุ้นเคยกับเนื้อหาสุดสวิงริงโก้ ได้ Drake มาร่วมแจมเป็นรอบที่ 3 หลังจากที่ทั้งคู่เคยร่วมงานมาแล้วในเพลง What's My Name และ Take Care จนดังเปรี้ยงปร้างไปแล้ว สำหรับเพลง Work ในความคิดผม มองว่าเพลงนี้ติดหู ร้องตามได้ง่ายก็จริง แต่น่าจะถูกลืมได้ง่ายเช่นกัน ถ้าเทียบกับสองเพลงที่แล้วที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกัน สองเพลงนั้นมีอะไรที่น่าจดจำมากกว่า Work จึงเป็นแค่ความสนุกประเดี๋ยวประด๋าวไปในพริบตา Desperado จังหวะกลองหนักเป็นพิเศษ ฟังได้เรื่อยๆ  


Woo สไตล์ความเป็น Travis $cott มาแต่ไกล ดูออกเลยว่าใครโปรดิวซ์ให้ มาในสไตล์ Trap Rap จังหวะขาดๆเกินๆ ออโต้จูนจ๋า ดูเท่ห์แต่เนื้อหาไม่มีห่าไรเลย และสไตล์ของเธอไม่เข้ากับสไตล์ของ Travis อยู่ดี Needed Me มาในสไตล์ฮิพฮอพ บีทมาแบบบิดเบี้ยว ได้ DJ Mustard มาโปรดิวซ์ให้  เรียกร้องเกมรักแบบสาดิสม์ในเพลง Yeah I Said It มาแนวดาร์กๆลึกลับ ได้ Timbaland มาโปรดิวซ์ให้ สามเพลงที่พูดถึงนี้ข้าพเจ้ามองว่าเป็นจุดบอดของอัลบั้มชุดนี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจซะเท่าไหร่ 


แต่ยังดีที่มีอีกห้าแทร็คสุดท้ายที่พอจะปิดจุดบอดได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น Same Ol' Mistake งานเก่าเอามาคัฟเวอร์ใหม่ ต้นฉบับเพลงเป็นของวงไซคลิเดลิกร็อคอย่าง Tame Impala การที่เจ๊ห่านมาร้องเพลงไซคลิเดริกร็อคแบบนี้ น่าจะเป็นการดีไม่น้อย Never Ending มาแนวโฟล์กอคลูสติกแห้งๆ โดดเด่นด้วยเสียงคอรัสโหยหวน ตอกย้ำความเหงาโดดเดี่ยวเดียวดายไปพร้อมๆกัน 


สามแทร็คสุดท้ายเป็นการเพิ่ม Level ให้กับเจ๊ห่านได้เป็นอย่างดี จนข้าพเจ้าขอยกให้เป็นไฮไลต์เด็ดไปเลย ไม่ว่าจะเป็น Love On The Brain อาร์แอนด์บี-โซลจังหวะ Doo-Woop ติดหู มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย เสียงร้องของรีห่านทำให้นึกถึง Joss Stone ลอยมาแต่ไกล ไต่เลเวลเพิ่มสูงปรี๊ดด้วย Higher ถึงจะเป็นแทร็คสั้นที่สุดในชุดนี้ แต่มันเด็ดดวงจริงๆ เสียงร้องห้าวๆที่สูงปรี๊ดเคล้ากับเสียงไวโอลีนเป็นพื้นหลังช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน เป็นแทร็คนึงที่รีห่านโชว์ศักยภาพได้ดีมากๆ ถึงแม้เพลงจะสั้น แต่ก็ประทับใจจนอยากฟังซ้ำ ปิดท้ายด้วยเพลงเปียโนบัลลาดช้าๆเนื้อหาสุดซึ้งอย่าง Close To You เพลงมีความหนักแน่น นุ่มลึก รีห่านถ่ายทอดอารมณ์การร้องได้เป็นอย่างดี เนื้อหาเป็นการส่งสาสน์ให้กับคนรักที่เพิ่งเดินจากไป ฟังแล้วนึกถึงเพลง Stay ซิงเกิ้ลสุดฮิตของเธอทุกที






ฟังจบแล้ว ผมรู้สึกว่า เจ๊ห่านเริ่มทำเพลงฟังยากขึ้น หลีกหนีความเป็นป็อบเมนสตรีมอันซ้ำซากจำเจ สวนกระแสเพลงป็อบในโลกปัจจุบันมากพอสมควร ศิลปินป็อบปัจจุบันจะชอบเอาอีดีเอ็มมาเจือปนในงานเพลง แต่สำหรับเธอคนนี้เลือกที่จะเอาฮิพฮอพ ไซคลิเดริก โฟล์ก อาร์แอนด์บี-โซลมาแทนที่ในผลงานของเธอแทนที่จะเป็นป็อบอีดีเอ็มเหมือนชาวบ้านเค้า คำว่า ANTi ซึ่งเป็นชื่ออัลบั้มชุดนี้จึงดูมีน้ำหนักมากขึ้น แต่ละเพลงในผลงานชุดนี้มันไม่ใช่เพลงที่ฟังเอาสนุกเลย จึงเป็นไปได้ยากที่เพลงในอัลบั้มของเธอจะฮิตแบบเปรี้ยงปร้างอย่างที่เคยเป็น ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงหลีกหนีความเป็นป็อบ อย่างไรก็ตามแต่ละเพลงของเธอยังคงความเป็นรีฮานน่าอยู่ ไม่ทิ้งลายความแสบ ซ่า ตรงไปตรงมา ไม่แคร์สื่ออีกเช่นเคยในครึ่งอัลบั้มแรก ส่วนเพลงหลังๆเธอก็เผยมุมอ่อนแอมาให้เห็นการบ้าง แสดงให้เห็นว่า การเป็นรีฮานน่า สาวซ่าขวางโลกที่ทั้งโลกต่างขนานนาม มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เธอก็มุมที่เซนซิทีฟอยู่เหมือนกัน ตัวเพลงมีคุณภาพ แต่ยังขาดลูกเล่น เพลงฟังยากมักเป็นอะไรที่ท้าทายผู้ฟังในระยะยาวนะ แต่เพลงของเธอฟังยากแต่กลับลืมง่ายในระยะยาว เพราะมันไม่โดน


ไฮไลต์เด็ดของอัลบั้มชุดนี้น่าจะอยู่แทร็คหลังๆที่ผมเคยบอกไปเนี่ยแหละ ที่พอจะเป็นตัวเสริมสปอตไลต์ให้กับอัลบั้มชุดนี้ ผมว่าเจ๊ห่านน่าจะไปทางสายโซลหนักๆ ไซคลิเดลิกได้อยู่นะ เสียงร้องของเธอ การถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆนาๆเป็นตัวชูโรงที่ดีอยู่แล้วบวกกับความดังของเธอ อนาคตบนเส้นทางดนตรีจึงยังไม่ดับสูญ แต่สิ่งที่ต้องพัฒนากันอีกยาวไกลก็คือ ลูกเล่น ในเพลงเนี่ยแหละ ถ้ามีลูกเล่นที่น่าสนใจ เพลงของเธอคงมีอะไรที่น่าจดจำมากกว่านี้แน่นอน ANTi จึงเป็นแค่การกลับมาที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนเพลงในระยะสั้นเท่านั้น

สุดท้ายแล้วความตื่นเต้นนั้นมันก็หายแว๊บไปในอนาคต



Top Track : Higher , Close To You 

Love On The Brain , Kiss It Better


Give 6.5/10 





วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

[รีวิวอัลบั้ม] King Push : Darkest Before Dawn (The Prelude) - Pusha T

ก่อนรุ่งสาง



Terrence Thornton แร็พเปอร์ม้ามืดแห่งนิวยอร์คซิตี้ที่รู้จักกันในนามของ Pusha T แร็พเปอร์เด็กปั้นของ Kanye West แห่งสำนัก G.O.O.D Music (ซึ่งเฮียพุชเป็นประธานค่ายคนล่าสุดไปแล้วเรียบร้อย) กลับมาอีกครั้งในสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ที่มีชื่อว่า King Push : Darkest Before Dawn (The Prelude) โปรเจคต์เรียกน้ำย่อยก่อนเข้าสู่โปรเจคต์ใหญ่สตูดิโอชุดที่ 3 ในนาม King Push ที่จะรีลิสภายในปี 2016 นี้ ถึงแม้ว่าเฮียพุชเป็นแร็พเปอร์ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก แต่เฮียพุชเป็นแร็พเปอร์ที่น่าจับตามอง ไม่ควรมองข้ามเลยล่ะไม่เพียงแต่เป็นเด็กปั้นที่ขึ้นตรงต่อคานเยเพียงอย่างเดียว แต่ผลงานเพลงในอัลบั้มชุดที่ผ่านมาอย่าง My Name Is My Name มีอะไรที่แปลกใหม่และแตกต่างกับแร็พเปอร์เจ้าอื่นพอสมควร ดูได้จากซิงเกิ้ลจากอัลบั้มไม่ว่าจะเป็น Numbers On The Board , Sweet Serenade , Hold On , Suicide และ Nosetalgia จะเห็นได้ว่าเพลงของเฮียพุชมีลูกเล่นซ่อนอยู่มากมาย ไม่ได้มีดีแค่บีทเพียงอย่างเดียว การเล่นคำในเพลงก็ไม่ธรรมดาจริงๆ มีกึ๋นมากพอสมควร ความแปลกใหม่ของงานเพลงเนี่ยแหละที่ทำให้แฟนเพลงฮิพฮอพอย่างเราจับตามองอัลบั้มชุดต่อไปของเฮียพุชว่า จะมีอะไรเด็ดๆซ่อนอยู่ให้ผู้ฟังได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนอัลบั้มชุดที่แล้วอีกหรือไม่ 




แผนโปรโมทอัลบั้มชุดนี้ก็ไม่ธรรมดา มีการทำหนังสั้นความยาว 22 นาทีด้วย โดยหนังสั้นดังกล่าวมีชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม มีตัวอย่างเพลงจากอัลบั้มมาให้ฟังกันเนืองๆ เนื้อหาประมาณว่าเฮียพุชกับเพื่อนสนิทอีกคนนึงเป็นพ่อค้าผงขาว (เฮียพุชชอบเอามาพูดถึงบ่อยในเพลง) ไปตกลงทำการค้ากับเจ้าพ่อรายนึงซึ่งเป็นตัวโกงในเรื่องนี้ ค้าไปค้ามาจนทั้งคู่ได้ดิบได้ดี แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าพ่อกลับอิจฉา จึงสั่งฆ่าเพื่อนสนิทของเฮียพุช เฮียพุชคิดจะแก้แค้น บุกไปฆ่าในโบสถ์ แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำ เหมือนคิดได้อะไรบางอย่าง ดูแล้วก็แอบงงนิดนึง ในความเข้าใจของผมคิดว่าเฮียพุชกำลังต่อสู้กับด้านมืดของตัวเองอยู่ พอจัดการกับด้านมืดของตัวเองได้ เหมือนมีชัยชนะ เป็น King อยู่เหนือด้านมืดทั้งหลายทั้งปวงได้ 


อัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด 10 แทร็ค ดูเหมือนน้อย แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ เรายังคงได้เห็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจจากอัลบั้มชุดนี้อีกเช่นเคย โปรดิวซ์เซอร์หลักยังคงเป็น Kanye West , Timbaland และ Puff Diddy โทนเพลงดาร์กเกือบทั้งอัลบั้ม และยังฟังยากอีกเช่นเคย เริ่มจาก Intro เปิดอัลบั้มชุดนี้มาแบบฮึกเหิมเป็นการประกาศศักดาไปในตัว บีททรงพลัง ฟังแล้วขนลุก เปิดสั้นๆแต่แหล่มมากๆ อินโทรอัลบั้มยังมาพร้อมคำถามสบประหม่าสุดคลาสสิค ที่ตามหลอกหลอนเฮียพุชช่าตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นดูโอ้กรุ๊ปวง Clipse ที่ทำร่วมกับพี่ชาย เอ็งอยากเป็นอะไรกันแน่ คนค้ายา ปีศาจ หรือแร็พเปอร์ ว่าแต่เอ็งจะรักษา culture ได้จริงรึ สุดท้ายก็ชัดเจนครับ เลือกที่จะแร็พเปอร์ดีกว่า




ต่อด้วย Untouchable ซิงเกิ้ลแรกประจำอัลบั้มชุดนี้ ได้ Timbaland มาโปรดิวซ์ให้ เมโลดี้บิดเบี้ยว จังหวะชวนโยก แปะด้วยแซมเปิ้ลเพลง Think Big ของ Biggie Small แร็พเปอร์ในตำนานผู้ล่วงลับ ไอดอลคนโปรดของเฮียพุช โจมตีค่าย Cash Money พร้อมจิกกัดพวกอวดรวยเพื่ออยากดังมีหน้ามีตาในสังคม ในเพลง M.F.T.R ซึ่งย่อมาจาก More Famous Than Rich เพลงนี้ถือเป็นแทร็คเด่นประจำอัลบั้มชุดนี้ บีทกับการแร็พไหลลื่นมากๆครับได้ The Dream นักร้องค่ายเดียวกันมาร่วมร้องท่อนฮุกแจม 






Crutches Crosses Casket (All I See Victim) บีทออกแนวฉวัดเฉวียน แปลกๆ เพลงนี้ก็เด็ดเรื่องการเล่นคำและ punchline  จิกกัดวงการเพลงในปัจจุบันที่ศิลปินหลายคนๆกลายเป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมงานเพลงอย่างหนีไม่พ้น แต่เฮียพุชกลับมั่นใจ ไม่ตกเป็นทาสอย่างแน่นอน 


M.P.A อันย่อมาจาก Money Pussy Alcohol เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมตั้ง expectation ไว้สูงมากๆ แขกรับเชิญแม่งระดับซุปตาร์ มีทั้ง Kanye West (ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์เพลงนี้ด้วย) A$AP Rocky และ The Dream แถมได้ J.Cole มาโปรดิวซ์เสริมทัพคานเยอีกต่างหาก ฟังครั้งแรกผมเองก็แอบผิดหวังนะ คิดว่า เพลงยาว 5 นาทีกว่าอย่างน้อยแขกรับเชิญน่าจะได้แร็พกันคนละท่อน ที่ไหนได้แต่ละคนร้องกันแค่ไม่กี่ท่อนเอง ปล่อยให้เฮียพุชของเราแร็พสามท่อนรวด ที่เหลือมาแย่งร้องตรงท่อนฮุก ฟังครั้งแรกแอบแปลกใจว่าเพลงแม่งจบแล้วหรอว่ะ คนอื่นแม่งยังไม่ได้แร็พห่าไรเลย ดนตรีก็ออกแนวเนิบๆช้าๆ เฮียพุชใช้แขกรับเชิญได้ไม่คุ้มค่าไรเลย แต่ผมเองก็ต้องลองฟังหลายรอบดูครับ ค้นพบข้อดีบางอย่างของเพลงนี้ จุดแข็งของเพลงนี้คือ เจ้าของเพลงต่างหากครับที่คุมเพลงได้อยู่มัดทั้งเพลง โดยไม่ต้องอาศัยแขกรับเชิญมาแร็พแย่งซีนกัน ปล่อยให้ไหลคนเดียว มีการเปลี่ยนโทนในท่อนสามให้ดาร์กขึ้น การแร็พก็เกรี้ยวกราดตาม  ถึงเพลงจะค่อนข้างเนิบนาบ แต่พอฟังหลายครั้งกลับติดใจอย่างแปลกประหลาด มันเป็นเพลงที่เบรคของหนักจาก 4 เพลงที่แล้วได้ดีทีเดียว จะว่าไปแล้วเพลงนี้แลดูซอฟต์ก็จริง แต่เนื้อหาก็แอบประชดประชันอยู่ไม่น้อย ประมาณว่า ไอ้เงิน จิมิ๊ แอลกอฮอลล์ เนี่ยแหละมันจะมอมเมาชีวิตมึงอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ เป็นเพลงที่ใช้แขกไม่คุ้ม แต่ก็ยอมรับได้ ด้วยเหตุผลที่มาจากความสามารถของเจ้าของเพลงล้วนๆ




Got'Em Covered บีทโดดเด้ง ทำให้นึกถึงเพลง Numbers On The Board จากอัลบั้มชุดที่แล้ว ได้ Ab-Liva แร็พเปอร์เพื่อนสนิทมาร่วมแจม เนื้อหายังว่าด้วยเรื่องค้าผงขาว เข้าสู่โหมดดาร์กในเพลงต่อไปอย่าง Keep Dealing ได้ Beanie Sigel มาร่วมแจม Puff Diddy อำนวยการโปรดิวซ์ บีทเคล้าคลอด้วยเปียโนหลอนๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพลงนี้มีความคล้ายคลึงกับ Who Shot Ya ของ Biggie Small เพราะมาจากโปรดิวซ์เซอร์เจ้าเดียวกันนั่นเอง Retribution ดูเหมือนเพลงนี้จะเป็นแร็พที่ป็อบจ๋าที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ได้แร็พเปอร์สาวหน้าใหม่มาแรงอย่าง Kelahni มาร้องท่อนฮุกแจม ท่อนฮุกติดหูทำเอาขนลุกอยู่ไม่น้อย


FIFA เป็นเพลงที่มันส์และติดหูครั้งแรกที่ได้ฟัง ชอบจังหวะกลอง คึกคักสมเป็นเพลงแข่งบอล แต่ดูจากเนื้อหาเพลงแล้วไม่น่าจะใช้ประกอบพิธีได้ เพราะลิ้งก์ไปเรื่องธุรกิจค้ายาไปเรื่อย เพลงนี้มีแร็พเปอร์แห่ง A Tribe Call Quest อย่าง Q-Tip โปรดิวซ์ให้ด้วย ปิดท้ายด้วย Sunshine แทร็คปิดอัลบั้มที่ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่สาดส่องลงมา หลังจากที่ 9 แทร็คที่ผ่านมาดาร์กซะเหลือเกิน ถึงชื่อเพลงจะออกแนวมองโลกสวย แต่ไม่โลกสวยอย่างที่คิด เพราะเฮียพุชเองซัดประเด็นปัญหาตำรวจเหยียดผิวอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาสุดคลาสสิคของชาวผิวสีในสังคมมะกัน ได้นักร้องอาร์แอนด์บีในตำนาน Jill Scott มาร้องท่อนฮุกแจมด้วย ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ให้ผู้ฟังได้ขบคิดกันต่อไปด้วย เจ๋งดี


ฟังจนจบอัลบั้มแล้ว 10 แทร็คที่ยาวนานแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น กลับรู้สึกว่า อัลบั้มปฐมบท King Push ชุดนี้ ให้ความรู้สึกเต็มอิ่ม ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เอียพุชสามารถพาผู้ฟังได้ตลอดรอดฝั่งทั้งสิบแทร็คแบบไม่สะดุด ถึงจะดาร์กทั้งอัลบั้ม แต่ก็ดาร์กแบบไม่เลี่ยน และไม่ออกแนวยัดเยียดจนเกินไป การแร็พที่ยังคงความดุดัน เกรี้ยวกราด และเล่นคำได้อย่างฉลาด มีพัฒนาการมากขึ้นจากอัลบั้มชุดที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด แค่นี้ก็เป็นการประกาศศักดาของ Kingpin Overload ที่สมศักดิ์ศรีมากพอแล้ว ใครที่ยังไม่เคยฟังผลงานของเฮียพุชมาก่อน เพลงพี่แกอาจจะเก็ตยากนิดนึง เพราะบีทมาแหวกแนวมากๆ ไม่เหมือนเพลงฮิพฮอพอันเดอร์กราวทั่วไป แต่พอฟังไปหลายรอบก็ค้นพบความเจ๋งเอง ความแตกต่างจากชาวบ้านเนี่ยแหละน่าจะเป็นจุดแข็งของอัลบั้มชุดนี้ที่ทำให้ผมพร้อมที่จะรออัลบั้มชุดต่อไป แอบหวั่นอยู่เหมือนกันครับว่า อัลบั้มบิ๊กโปรเจคต์อย่าง King Push จะทำออกมาได้ดีกว่าชุดนี้รึเปล่า เพราะชุดนี้ตั้งมาตรฐานไว้สูงพอสมควร  คำว่า Darkest Before Dawn นั้นดูเหมือนว่า เฮียพุชค่อนข้างจะมั่นใจพอสมควรว่า อัลบั้ม King Push ของเขาจะทำให้วงการฮิพฮอพนั้นรุ่งเรืองอีกครั้ง เนื่องจากอัลบั้มของเฮียแกจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และเป็นอะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน ทีนี้ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า เฮียพุชจะนำแสงสว่างมาสู่วงการฮิพฮอพสมราคาคุยหรือไม่


ต้องติดตามตอนต่อไป



Top Tracks : M.F.T.R , M.P.A , FIFA , Sunshine

Crutches Crosses Casket , Intro , Untouchable

 
Give  8/10


FB >>> https://www.facebook.com/fungpaifungma/





วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

[รีวิวอัลบั้ม] Days Are Gone - Haim

สามพี่น้องสุดสตรองงงงง



Days Are Gone สตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการของวงป็อบร็อคอินดี้สามศรีพี่น้องตั้งชื่อตามวงศ์ตระกูลนามว่า Haim (ไฮม์) อันประกอบไปด้วย Danielle Haim มือกีตาร์ เล่นกลองบ้าง นักร้องนำหลัก เป็นลูกสาวคนกลาง Este Haim มือเบส และร้องนำ พี่สาวคนโต และ Alana Haim มือกลอง คีย์บอร์ดและคอรัส น้องสาวคนสุดท้อง จริงๆแล้วอัลบั้มชุดนี้รีลิสออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วล่ะ แต่ในโอกาสที่สามสาวกำลังจะรีลิสอัลบั้มใหม่ภายในปีนี้ เลยหยิบมารีวิวให้ผู้อ่านได้ย้อนวันวานก่อนที่จะฟังอัลบั้มชุดใหม่ของสามสาวในเร็วๆนี้ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจวงดนตรีหญิงล้วนวงนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะได้รับการแนะนำต่อๆกันจากเพื่อนๆแล้ว อาจเป็นเพราะเกิรล์กรุ๊ปวงนี้เล่นดนตรีเก่งและบุคลิกส่วนตัวที่ออกไปในทางห้าวๆเกรียนๆเนี่ยแหละน่าจะเป็นเหตุผลหลักเลย การที่ผู้หญิงเล่นกีตาร์ไฟฟ้า ตีกลอง หรือเล่นเบสเป็น มันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์สุดๆในสายตาผม ไม่ต้องแต่งโป๊ ไม่ต้องเต้นยั่วยวนเพื่อเรียกร้องความสนใจ โชว์ฝีไม้ลายมือทางดนตรีล้วนๆ โชว์ทักษะการแต่งเพลง นี่สิคือนักร้องหญิงที่ผมต้องการและสมควรได้รับการชื่นชม มีหน้ามีตาในวงการเพลง มีเสน่ห์และน่าค้นหาอย่างแท้จริง 

จากการที่ผมได้นั่งฟัง Days Are Gone มาเป็นเวลานานพอสมควร งานเพลงชุดนี้ไม่กระจอกอย่างที่คิด พวกเธอไม่ได้มาเล่นๆ โชว์สกิลเต็มที่ ฝีไม้ลายมือทางดนตรีไม่แพ้ร็อคแบนด์ชายล้วนเลยล่ะ และที่สำคัญสามสาวทำเพลงเองด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ ดนตรีค่อนข้างมีชั้นเชิง ฟังยากบ้างง่ายบ้าง  เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงความรักที่ไปได้ไม่สวย เลิกราเพื่อไปตามทางของตัวเอง 


เริ่มตั้งแต่ Falling แค่เพลงแรกพวกเธอก็โชว์ของแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของไฮม์ได้แล้ว มีความเป็นป็อบผสมอาร์แอนด์บี เพิ่มความแปลกใหม่และน่าจดจำด้วยเสียงเอคโค่ เพิ่มความแข็งแรงให้กับคอรัส  ถึงแม้ว่าชื่อจะดูเหมือนฉุดพวกเธอลงที่ต่ำ แต่ไม่เลย พวกเธอกำลังประกาศกร้าวแสดงจุดยืนในวงการเพลง ดั่งท่อนฮุกที่ว่า Don’t stop, no, I’ll never give up And I’ll never look back, just hold your head up จะเห็นได้ว่าพวกเธอไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่จมอยู่กับความเศร้าในอดีต พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานเพลงของพวกเธอ ทำตามฝันต่อไป จุดยืนชัดเจนตั้งแต่เพลงแรก  เอ็มวีออกแนวชิคๆเกรียนๆไม่จริงจังเหมือนในเนื้อหาเอาเสียเลย 5555



เพิ่มความคึกคักด้วย Forever ป็อบร็อคสไตล์ยุค '80 เล่นลูกเล่นเบสไลน์ได้แพรวพราวมากๆ บีทติดหู ไหลลื่นสุดๆ ส่วนในเอ็มวีสาวๆก็โชว์ความเป็นเฮฟวี่สุดๆด้วยการขี่มอไซค์โชว์ สวมแจ็คเก็ตยีนส์ เต้นโชว์เกรียนนิดๆ ส่วนเนื้อหาก็เป็นการบอกลาความสัมพันธ์กับคนรักที่ท่าทางจะไปไม่สวยแน่ๆในอนาคต


ถึงแม้ว่าแทร็คที่แล้ว สาวๆจะโดนผู้ชายร้ายๆหักอก เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด คราวนี้เธอขอเป็นผู้ร้ายหักอกหนุ่มๆบ้าง เข้าตำราคนสวยใจร้ายในเพลง The Wire มาแบบเข้มๆขรึมๆแฝงความแมน เนื้อหาก็แมนตาม เธอกล้าที่จะบอกปฏิเสธชายหนุ่มที่ไม่ใช่สำหรับเธอแบบแมนๆ แต่สิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไปนั้นใช่ว่าเธอจะรู้สึกดีหรือทำเพื่อความสะใจหรอกนะ เธอก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ต้องหักอกผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอ  เพียงแต่ไม่อยากจะเสแสร้งไปมากกว่านี้ 

ในเพลงนี้เธอก็ฝากบทเรียนให้กับหนุ่มๆทั้งหลายด้วยว่า Always keep your heart locked tight Don't let your mind retire แปลเป็นไทยว่า อย่าหลงรักใครง่ายๆนั่นเอง เพราะผลที่ตามมาอาจจะทรมานได้โดยไม่รู้ตัว เป็นเพลงที่แฝงความแสบไปในตัว



หักอกหนุ่มๆมาแล้ว มาต่อด้วย If I Could Change Your Mind เนื้อหาแอบเฮิร์ทนิดนึง ถ้าชั้นเปลี่ยนใจเธอได้ ป่านนี้เธอเป็นของชั้นไปนานแล้ว เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ฟังง่ายที่สุดในอัลบั้มชุดนี้นะ ป็อบติดหูดีครับ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องชอบเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง

Honey & I น่าจะเป็นเพลงบอกรักเพียงแค่เพลงเดียวเท่านั้นในอัลบั้มชุดนี้ มาในจังหวะช้าๆเนิบๆฟังสบายๆ ถึงแม้ว่าเธอเข็ดกับความรักในอดีตที่ผ่านมา แต่เธอก็เริ่มมีความมั่นใจกับความรักครั้งใหม่มากขึ้น ประสบการณ์สุดเฮิร์ทที่ผ่านมาในอดีตอาจทำให้เธอเป็นคนสตรองขึ้นก็เป็นไปได้ ชั้นไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นเพลงบอกรักที่แมนมากๆ ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป



ตัดกลับมาที่เพลงเฮิร์ตๆ Don't Save Me เพลงนี้จังหวะเบสเท่มากๆ ยกความดีความชอบให้กับ Este อีกแล้ว ดูเหมือนเพลงนี้สาวๆจะเจอปัญหารักเขาข้างเดียวซะแล้ว ถ้าความรักของเธอไม่แข็งแกร่งพอ อย่ามาทำเป็นบอดี้การ์ดคอยปกป้องชั้น อย่ามาแคร์ชั้นเลย 

มาถึงเพลงที่เป็น topic หลักประจำอัลบั้มอย่าง Days Are Gone  Este ขอโชว์ร้องเต็มเพลงบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้แดเนียลมีบทบาทหลักในการร้องอยู่ตั้งหลายเพลง เสียงของเธอแลดูซอฟต์กว่าแดเนียลซะอีก ทั้งๆที่เธอตัวสูงใหญ่น่าจะมีเสียงห้าวๆ กลับกลายเป็นว่าเสียงของแดเนียลดูแมนกว่า แต่ผมไม่ได้หมายความว่าเสียงของสาว Este จะดูไม่ดีหรอกนะฮับ เสียงร้องของเธอดูดีเหมือนกัน เพียงแต่เปรียบเทียบเฉยๆ จะว่าไปแล้วไตเติ้ลแทร็คเพลงนี้เป็นหัวใจหลักสำคัญในการบอกลาความรักแย่ๆที่เธอมักจะเป็นคนฝ่ายให้เขาข้างเดียวอยู่ตลอดๆ ทิ้งอดีตไปซะ เดินหน้าทำสิ่งที่ควรทำต่อไป 

You can have my past, I'll never get that back I'm moving on, cause those days are gone เป็นประโยคที่ผมชอบมากที่สุดในเพลงนี้ เพราะผมก็เจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ผมเลยอินกับประโยคนี้เป็นพิเศษ ฮ่าฮ่าฮ่า



My Song 5 เพลงนี้โคตรพ่อโคตรแม่ชอบเลยล่ะครับ เป็นเพลงที่โชว์สกิลความเป็นร็อคได้โหดมากๆ โหดที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ หลังจากที่สามสาวเสิร์ฟเมนูซอฟต์ๆมาตลอดหลายเพลง เพลงนี้เธอขอใส่ความหนักหน่วงลงไปในเพลงบ้าง ซาวนด์กีตาร์เท่ห์ได้ใจ ถึงแม้ว่าแดเนียลร้องผ่านเครื่องออโต้จูน แต่ก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ใช้แบบมั่วซั่ว เหมาะเหม็งกับเพลงที่มีบรรยากาศค่อนข้างอึมครึมแบบนี้ จะว่าไปแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ตอกกลับชายชู้ได้แสบสุดๆ จังหวะเพลงเลยดุตาม เธอคิดว่าชั้นไม่รู้หรอว่าเธอกำลังคบซ้อนใครอยู่ ต่อไปนี้ชั้นก็จะตอบแทนเธอด้วยการ ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่สิ่งที่เธอจะไม่ได้รับแน่นอนคือ คำพูดหวานๆและความรักของชั้นอีกต่อไป ต่อไปนี้ชั้นเป็นอิสระ ไม่เป็นแม่พายน้ำผึ้งอีกต่อไป แสบปะล่ะ เพลงนี้ได้รับกระแสตอบรับดี จนต้องทำเวอร์ชั่นรีมิกซ์ ได้ A$AP Ferg มาร่วมฟีท


มาเฮิร์ทกันต่อด้วยเพลง Go Slow เพลงจังหวะช้าๆ เบรคของหนักจากแทร็คที่แล้ว ออกแนวยื้อคนรักเก่าที่ลืมไม่ลงซักที พยายามจะลืม แต่มันก็ยากจริงๆ รักแล้วลืมยากว่าง่ายๆ สองแทร็คสุดท้ายอย่าง Let Me Go และ  Running If You Call My Name เป็นการตอกย้ำประโยค Days Are Gone ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

เพลงแรกเริ่มเพลงมาแบบเงียบๆแล้วมาตะโกน Let Me Go ให้คนฟังได้ขนลุกกันเล่นๆในท่อนฮุก Este รับช่วงต่อในการร้องเคล้าจังหวะกลองของน้องคนเล็ก Alana ที่เพิ่มความเข้มข้นให้เพลงได้เป็นอย่างดี แล้วสร้างไคล์แมกซ์เป็นการปิดท้ายด้วยซาวน์ดกีตาร์ เบส และกลอง จากสามประสานพี่น้องลากยาวจนจบเพลง เป็นอีกหนึ่งเพลงเด่นที่เจ๋งในสร้างไคล์แมกซ์ได้ถูกที่ถูกเวลา ส่วนเพลงสุดท้ายแลดูซอฟต์กว่าเพลงที่แล้ว เป็นการหนีออกจากความรักแย่ๆ เพื่อไปเจอสิ่งที่ดีกว่า สองเพลงที่แล้วดูเหมือนจะยังตัดใจไม่ลง แต่เพลงสุดท้ายนี้น่าจะบ่งบอกได้แล้วว่า ชั้นหลุดพ้นพันธนาการจากความรักแย่ๆได้แล้ว ไม่อาลัยอาวรณ์อีกต่อไป คอรัสในเพลงนี้เด่นสุดๆ เป็นแทร็คปิดที่ประทับใจอยู่ไม่น้อย อินดี้สุดๆจ้า

มาพูดถึงเพลงแถมในเวอร์ชั่น Deluxe บ้าง เริ่มตั้งแต่ Send Me Down 
อิเล็กโทรนิกส์ป็อบนิดๆผิดวิสัยแทร็คหลักพอสมควร ส่วนเพลง Edge เป็นเพลงแถมที่ผมชอบมากที่สุด ฟังครั้งแรกอาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าเพราะ แต่ฟังไปหลายๆรอบก็เริ่มรู้สึกชอบเลยล่ะ 



Days Are Gone ผลงานชุดแรกของสามสาวเปิดตัวได้สวยมากๆครับ ในแง่ของดนตรีและเนื้อหาที่ล้อคอนเซปต์ของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน แค่เสียงร้องของแดเนียลก็พอจะเป็นซิกเนเจอร์ของวงนี้ได้แล้ว

ชอบตรงที่ .... ลูกเล่นดนตรีค่อนข้างแพรวพราว  การฝึกซ้อมที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กและความสามัคคีของสามสาวน่าจะเป็นอาวุธชั้นดีของวงนี้ อาจเป็นเพราะทั้งสามสาวรู้ใจซึ่งกันและกันด้วย เลยทำให้ภาคดนตรีไม่ว่าจะเป็นภาคการร้อง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด และกลองมีการสอดประสานกันได้อย่างลงตัว ไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ดูไม่มั่ว ไม่มีเพลงไหนที่ผมกดข้ามหรือเกลียดเลย ครั้งแรกๆอาจฟังยากหน่อย เพราะเพลงมันไม่ใช่ป็อบเมนสตรีมธรรมดาๆ มันมีความเป็นอินดี้ผสมด้วย คนฟังอาจไม่คุ้นชิน แต่พอได้ฟังหลายรอบ เป็นอัลบั้มที่ฟังได้ในระยะยาวจริงๆ และไม่เป็นการฟังฉาบฉวยแต่อย่างใด

ชอบตรงที่ .... ชัดเจนในคอนเซปต์ การเรียงลำดับแทร็คในอัลบั้มชุดนี้มันช่างสอดคล้องกับความรู้สึกของมนุษย์ซะเหลือเกิน (ฟังดูเวอร์แต่ก็จริงนะ) เหมือนสามสาวเข้าใจคนที่เพิ่งอกหักมาใหม่ๆ ที่ตอนแรกๆมักจะเจอกับเรื่องร้ายๆไม่ว่าจะเป็น โดนบอกปัดความสัมพันธ์บ้าง โดนปฏิเสธรัก รักเขาข้างเดียวอยู่นั่นแหละ ซ้ำร้ายกว่านั้นดันไปรู้ว่าเขาคนนั้นกำลังโกหกเราอยู่ พอเรารู้ตัวว่าเขาไม่รักตอบ หรือไปเป็นชู้กับคนอื่น ความรู้สึกต่างๆก็เริ่มมาโดยอัตโนมัติ เราก็เริ่มจะอาลัยอาวรณ์ อยากให้เขามารักเราบ้าง คิดไปต่างๆนาๆทำไมเขาไม่รักเรา (สอดคล้องกับแทร็คแรกๆในอัลบั้มชุดนี้) เมื่อเวลาผ่านไปเราก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าฝืนใจไปเหนื่อยเปล่า ตัดใจเสียดีกว่า กว่าเราจะตัดใจลืมเขาได้ ก็ยากซะเหลือเกิน สุดท้ายเวลาก็เยียวยาเราได้อยู่ดี แทนที่จะอาลัยอาวรณ์จมอยู่กับเรื่องเศร้า เดินออกจากความรักแย่ๆเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดั่งสองแทร็คสุดท้ายในแสตนดาร์ดเวอร์ชั่นที่ผมได้พูดถึงไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้คำว่า Days Are Gone ชัดเจนซึมในสมองของผู้ฟัง Days Are Gone ในที่นี้คือวันวานความรักที่หอมหวานในอดีตจะไม่หวนกลับมาอีกแล้วนั่นเอง

ชอบตรงที่ .... เพลงเข้าถึงคนฟังได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าเนื้อเพลงจะออกไปในทางซีเรียส ค่อนข้างขมขื่น แต่สามสาวก็สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างสนุกสนานและน่าติดตามตั้งแต่แทร็คแรกจนถึงแทร็คสุดท้าย ฟังแล้วให้ความรู้สึกไม่อมทุกข์อมเศร้าจนเกินไป ถูกใจทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวอย่างแน่นอน บรรยายสรรพคุณมามากพอแล้ว คงต้องอุทานว่า

จะไม่ให้รักสามสาวได้ยังไงล่ะ


Top Track : My Song 5 , Let Me Go , Days Are Gone , Falling , If I Could Change Your Mind , Don't Save Me , Running If You Call My Name 


Give 8.5/10

Recommend !!!!!!






วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

50 Best Songs Of 2015 (จัดอันดับเล่นๆ แต่กล้าแนะนำ)

50 Best Songs Of 2015 

(จัดอันดับเล่นๆ แต่กล้าแนะนำ)


ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย 50 สุดยอดเพลงสากลแห่งปี 2015 ที่เพจฟังไปฟังมาของเราตั้งใจคัดสรรมาอย่างดี อาจมีเพลงที่ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อ่านครับ ไม่จำเป็นต้องชอบตามนี้ก็ได้ เพราะมันเป็นทัศนคติส่วนตัวของผู้เขียน แต่เพลงเหล่านี้มีคุณภาพอย่างแน่นอน อยากแนะนำให้ฟังกันถ้วนหน้า


50.Zero-Chris Brown


49.Classic Man-Jidenna Ft. Kendrick Lamar


48.Take Me Home - Jess Glynne


47.Freedom-Pharrell Williams


46.Smuckers - Tyler The Creator Ft. Kanye West & Lil Wayne


45.Baby Blue-Action Bronson Ft.Chance The Rapper


44.I Bet - Ciara


43.Everglow-Coldplay


42.Back To Back - Drake


41.100 Grandkid-Mac Miller


40.Your Type-Carly Rae Jepsen


39.100-The Game Ft.Drake


38.Sunday Candy - The Social Experiment & Donnie Trumpet Ft. Jamila Woods


37.Check - Young Thug


36.FourFiveSeconds - Rihanna Ft. Kanye West , Paul McCartney


35.These Walls - Kendrick Lamar Ft. Anna Wise , Thundercat & Bilal


34.Paper Trail$-Joey Bada$$


33.Magnets-Disclosure Ft.Lorde


32.Love Yourself-Justin Bieber


31.Genocide-Dr.Dre Ft.Kendrick Lamar &Marsha Ambrosius & Candice Pillay)


30.Wavybones-A$AP Rocky ft. Juicy J & MGK


29.I Serve The Base - Future


28.No Sleeep-Janet Jackson Ft.J.Cole


27.One Man Can Change The World - Big Sean Ft.Kanye West & John Legend


26.Sorry-Justin Bieber


25.Yes, I'm Changing  - Tame Impala


24.waves-Miguel


23.When We Were Young-Adele


22.Leave A Trace-CHVRCHES


21.Everyday - A$AP Rocky Ft. Miguel & Rob Stewart


20.Border-M.I.A.


19.Eventually -Tame Impala


18.All My Friends-Snakehips ft.Tinashe , Chance The Rapper


17.WTF-Missy Elliot Ft.Pharrell Williams


16.Vice City-Jay Rock Ft. Black Hippy


15.The Hills - The Weeknd


14.Antidote-Travis $cott


13.Where Are U Now-Jack U Ft. Justin Bieber


12.All That - Carly Rae Jepsen


11.I KNOW THERE'S GONNA BE (GOOD TIMES) - Jamie XX Ft.Young Thug & Popcaan


10.Know Yourself - Drake


เริ่มต้นท็อบเท็นด้วย แทร็คที่โดดเด่นที่สุดในอัลบั้มสุดฮิต If You're Reading This,It's Too Late เดรกแร็พเพลงนี้ได้เฉียบคมมากๆครับ โดยเฉพาะท่อนที่ 2 ของเพลง โชว์สกิลแร็พได้เท่มากๆ เพลงนี้ทำให้เราได้รู้จักเมืองโตรอนโต้บ้านเกิดของเดรก และมันทำให้เดรกได้ฉายาใหม่ 6God เป็นฉายาประดับยศไปโดยปริยาย


9.Them Changes - Thundercat



กรูฟเพลงนี้แปลกใหม่มากๆ ฟิวชั่นแจ๊สล้ำๆ เท่ๆ บีทอ้วนๆ โดนสุดๆ เอ็มวีถ้าดูดีๆมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามากๆ มันคงเจ็บปวดมากๆ ที่เราอยากจะทำอะไรซักอย่าง อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเสกให้เรากลายเป็นคนทุพพลภาพ พิการ ไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป อื้อหืออย่าให้เจอชีวิตแบบนี้เลย


8.Here -Alessia Cara



เพลงนี้น่าจะถูกใจคนเก็บเนื้อเก็บตัว หรือคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครอย่างแรง เพราะผู้เขียนก็เป็นคนที่มีนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน โทนเพลงหม่นๆ เสียงของน้องอลิเซียหวยโหนเป็นเอกลักษณ์ แอบแร็พนิดนึง เสียงร้องของเธอช่างคล้อยตามเพลงได้ดีซะเหลือเกิน ฟังแล้วเหมือนโดนมนต์สะกดโดยไม่รู้ตัว


7.All Day - Kanye West Ft. Theophilus London , Allan Kingdom & Paul McCartney



 ซิงเกิ้ลล่าสุดอย่าง All Day ถือเป็นเพลงที่มี instrument ที่เจ๋งมากๆเพลงนึง มีการผสมผสานกอสเปล ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ฟัง ส่วนแขกรับเชิญที่มาแจมก็ช่วยซัพพอร์ตเย่ได้เป้นอย่างดี แต่สำหรับป๋าพอลนั้นดูตลกไปนิดนึง แต่ก็เอาเหอะ ดนตรีมันเจ๋ง ฟังมันส์ ให้ติดท็อบเท็นอยู่แล้วไม่ซีเรียส 

6.Lean On - Major Lazer & DJ Shake Ft. MO





เป็นอีดีเอ็มที่ซาวน์ดไม่โหล ไมมีการตบกลองสแนร์ก่อนขึ้นท่อนฮุกตามสูตรสำเร็จของเพลงอีดีเอ็มตลาดทั่วๆไป ใช้ปี่ใส่ความเป็นภาระตะเข้าไปทำให้เพลงติดหูโคตรๆ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนเอ็มวีก็จัดเต็ม ยกกองไปถ่ายทำถึงอินเดีย งดงามมีวิจิตรศิลป์มากๆ ถึงตัวเพลงค่อนข้างหวือหวา มันไม่ใช่เพลงที่ว่าด้วยเรื่องสองแง่สองง่าม ชวนไปมีเซกส์หลังแดนซ์จบ เหมือนเพลงอีดีเอ็มทั่วๆไป  แต่มันคอยย้ำเตือนชาวโลกต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่แปลกใจที่น้องมูได้รับเกียรติให้ไปขึ้นโชว์บนเวทีงานประกาศรางวัล Noble Peace


5.All I Ask - Adele




ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับอันดับที่ 5 ประจำลิสต์นี้ เพลงนี้เป็นแทร็คที่เด่นที่สุดในอัลบั้ม 25 ของอเดลแล้วล่ะครับ เสียงร้องอันทรงพลัง บัลลาดเปียโนติดหู บวกกับเนื้อหาโคตรเฮิร์ต อเดลกำลังทำร้ายคนที่กำลังผิดหวังในความรักไปโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญได้ Bruno Mars มาร่วมแต่งเพลงนี้ด้วย ยิ่งปลื้มเข้าไปอีก


4.Hotline Bling-Drake




ปล่อยเพลงเน้นร้องออกมาทีไรก็เปรี้ยงปร้างได้ดิบได้ดีทุกทีสำหรับ Drake ถ้าเทียบกับเพลงเน้นร้องสองเพลงที่แล้วอย่าง Find Your Love และ Hold On We’re Going Home เพลงนี้เป็นเพลงที่ชิวๆดูไม่หวือหวาเท่าสองเพลงนั้น แต่ในความชิวนี้เองก็ยังคงแฝงอารมณ์หนุ่มเหงา โหยหาความรัก เพ้อไปเรื่อยอยู่ดี ฟังครั้งแรกๆอาจจะยังไม่ติดหูเท่าที่ควร เพราะเพลงมันชิวไปเรื่อย แต่ถ้าลองฟังหลายๆรอบก็จะค้นพบว่า เพลงมันฟังได้เรื่อยๆไม่น่าเบื่อจริงๆ ฟังแล้วชอบจนปฏิเสธไม่ได้ ส่วนเอ็มวีไม่ต้องบอกก็รู้
 เคป็อบยังต้องชิดซ้าย


3.Can't Feel My Face - The Weeknd


เพลงอินเลิฟสไตล์ The Weeknd ป็อบสไตล์ฟังก์ จังหวะโดดเด่น ยิ่งได้พี่เอเบลซึ่งเปรียบเสมือนเงาเสียง MJ ด้วยแล้ว ยิ่งฟังยิ่งทำให้นึกถึงไมเคิลทุกที บีทเพลงนี้ติดหูมาก ฟังแล้วโดดเด้ง เอ็นจอยทุกครั้ง เป็นเพลงฟีลกู๊ดในสไตล์พี่สุดสัปดาห์ที่เท่ห์และมีเสน่ห์จริงๆ


2.Let It Happen-Tame Impala



แทร็คแรกจากอัลบั้ม Currents เป็นเพลงไซคลิเดลิกร็อคที่ครบเครื่อง และรวมความหลากหลายไว้ในเพลงเดียว เสียงร้องมีความละเมียดละมัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีดนตรีอิเล็กโทรนิกส์อันล้ำสมัยยิ่งเป็นการตอกย้ำความแปลกใหม่และแตกต่างเข้าไปอีก


1.Alright - Kendrick Lamar


ปีนี้เป็นปีทองของเคนดริกจริงๆ อัลบั้มก็ถูกยกย่องให้เป็น Best Of The Year ผมเชื่อว่าถ้าใครได้ฟัง To Pimp A Butterfly แล้ว คุณต้องมี First Impression เพลงนี้อย่างแน่นอน ดนตรีฟังลื่นมากๆ แร็พผสมนีโอ-โซลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเฮียฟาเรล ชอบตรงเนื้อหาด้วยที่ให้กำลังใจ ใช้ชีวิตแบบคิดบวกอยู่ภายใต้โลกอันแสนโหดร้าย เป็นเพลงที่ฟังสนุกและครบเครื่องจริงๆ หากวันใดที่คุณเครียดหรือเจอเรื่องหนักๆ ให้นึกถึงเพลงนี้ แล้วร้องตะโกนว่า 

" I’m fucked Homie you fucked up But if God got us Then We gon’be alright "

เป็นไงกันบ้างครับ ลิสต์ที่เราจัดให้ อาจจะถูกใจบ้างหรือขัดใจบ้าง อันนี้จัดอันดับตามทัศนคติของผู้เขียนล้วนๆครับ ถ้าไม่ถูกใจยังไงก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ

Happy New Year 2016 


วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] A Head Full Of Dreams - Coldplay

สีสันแห่งความฝัน





วงดนตรีป็อบร็อคแห่งเมืองผู้ดี Coldplay กลับมาอีกครั้งในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 ที่มีชื่อว่า A Head Full Of Dreams เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่นักฟังเพลงอย่างผมรอคอย แน่นอนครับว่าวงดนตรีวงนี้เป็นวงที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีนี่หว่า แถมมีเพลงฮิตหลายเพลงที่ข้าพเจ้าชื่นชอบจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Yellow , Shiver , Fix You , The Scientist , Warning Sign , Viva La Vida , Paradise , Charlie Brown , A Sky Full Of Stars , Magic อื่นๆอีกมากมาย A Head Full Of Dreams ชุดนี้จึงเป็นผลงานเพลงส่งท้ายปีที่น่าจับตามองยิ่งนัก ยังไงก็ต้องลองหาซื้อมาฟังอยู่ดี จะว่าไปแล้วอัลบั้มนี้ทิ้งช่วงจากอัลบั้มที่แล้ว Ghost Stories ประมาณหนึ่งปีครึ่ง  ผิดวิสัยศิลปินวงอื่นๆที่ส่วนใหญ่จะทิ้งช่วงในการทำผลงานชุดใหม่นานถึง 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย  ซึ่งถือว่าเร็วๆมากสำหรับวงดนตรีแนวหน้าของโลก AHFOD มีความแตกต่างจากชุดที่แล้วอย่าง Ghost Stories ที่เพลงส่วนใหญ่ไปในทางหม่นๆขมขื่นเอามากๆ พี่คริสคงช้ำรักลืมเมียเก่าไม่ได้ แต่ผมว่าชุดนี้ค่อนข้างคล้ายกับ Mylo Xyloto อัลบั้มชุดที่ 5 อยู่เหมือนกัน แนวทางคอนเซปต์ออกไปในทางแฟนตาซี เมโลดี้สวยๆ เนื้อหามองโลกในแง่ดี ดนตรีมีสีสัน แต่สิ่งที่ชุดนี้ดนตรีมีความทันสมัยมากกว่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสดนตรีอิเล็กโทรนิกส์เริ่มมีบทบาทสำคัญในโลกดนตรีมากขึ้น ดนตรีแนว EDM จึงต้องพัฒนาตามเพื่อเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น นี่แหละครับที่ผมคิดว่า AHFOD จึงมีความทันสมัยมากกว่า Mylo Xyloto นั่นเอง อีกหนึ่งความแตกต่างที่มีสีสันมากกว่าเดิมนั่นก็คือ แขกรับเชิญที่มาร่วมในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็น Beyonce , Tove Lo , Noel Gallagher และ Gwyneth Paltrow เมียเก่ามาร่วมแจมด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นแค่คอรัสแบ็คอัพหรือไม่ก็เสริมภาคดนตรีเฉยๆ ไม่เชิงร้องท่อนใครท่อนมันเหมือนเพลง Princess Of China ที่มี Rihanna มาร่วมแจม

อาร์ตเวิร์คและแพ็คเกจอัลบั้มชุดนี้สวยสดงดงาม Flower Of Life อยู่ตรงกลางแล้วมีครอบด้วยงานศิลปะสื่อถึงความเป็น AHFOD ได้ดีจริงๆ ภายนอกดูสวยงาม ไส้ในงานเพลงจะดีงามตามท้องเรื่องหรือเปล่ามาดูกันเลย


เปิดอัลบั้มด้วยไตเติ้ลแทร็ค A Head Full Of Dreams มาในสไตล์อิเล็กโทรนิกส์ป็อบบ่งบอกทิศทางอัลบั้มได้ชัดเจน  ดนตรีมีความเป็นวาไรตี้ ฟุ้งไปด้วยสีสัน ดูไม่หวือหวาเท่าไหร่นัก แต่ชัดเจนในคอนเซปต์ ต่อด้วย Birds โคลย์เพลย์ยังคงเล่นลูกเล่นรีฟกีตาร์บัลลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโคลเพลย์อีกเช่นเคย และเป็นวงที่ชอบเอา "นก" มาอุปมาอุปมัยในเนื้อเพลงอยู่เรื่อย สงสัยชอบดูนก (เดาเอา) ไม่เกี่ยว ฟังเพลินอยู่แต่จบเพลงค่อนข้างรวบรัดไปหน่อย กำลังได้ฟิลลิ่งอยู่ดีๆก็ตัดไปเพลงต่อไปแบบหน้าตาเฉย 

Hymn For The Weekend เพลงนี้ได้ Beyonce มาร่วมแจมในฐานะ vocal back up หลายๆคนก็คาดหวังเหมือนกันครับว่า เพลงนี้น่าจะมีการดูเอ็ทกัน แบ่งกันร้องโชว์พลังเสียงคนละท่อน แต่ผิดคาด ให้ Diva ตัวแม่มาร้องแบ็คอัพซะงั้น ยังดีครับที่ Tracklist ไม่มีการห้อยฟีทเจอริ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ฟังคาดหวังไปมากกว่านี้  เหมือนทางวงพยายามรังสรรค์ด้วยการเอาสไตล์ของป็อบบัลลาดแบบโคลย์เพลย์มาผสมกับสไตล์อาร์แอนด์บีแบบบียอนเซ่ เพลงเลยออกมาแบบแปลกๆ


Everglow ป็อบบัลลาดเปียโนช้าๆ เพลงนี้ทำให้ผมนึกถึง Ghost Stories ขึ้นมาทันที เหมือนพี่คริสเองพยายามตัดใจจากเมียเก่า แต่มันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน ยังคงคิดถึงเพียงเธอออออออออออ (เฮ้ย!!! อันนั้นของพี่ตูนเว้ย) โคลเพลย์ยังคงทำเพลงช้าได้ซึ้งกินใจซะเหลือเกิน เพลงนี้ปล่อยออกมาตอนที่ผู้เขียนอกหักพอดี ผมเลยอินเพลงนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าคุณกำลังแฮปปี้กับความรัก ก็สามารถอินเพลงนี้ได้ไม่ยากครับ




มาถึงซิงเกิ้ลแรก Adventure Of  Lifetime เพลงจังหวะสนุกๆ ตอนแรกฟังนึกว่าหมอลำซิ่ง ที่ไหนได้มันคือ World Music ผสมกับ อิเล็กโทรนิกส์ป็อบนั่นเอง ฟังสนุกครื้นเครง

ต่อด้วย Fun เพลงนี้ซิเด็ด ได้นักร้องสาว Tove Lo มาร่วมฟีทด้วย เป็นแขกรับเชิญที่เป็น underrated ในอัลบั้มชุดนี้ ถ้าเทียบกับ Beyonce ที่มีบารมีเหนือกว่าแทบทุกด้าน จังหวะเพลงปานกลาง ขัดกับชื่อเพลงที่จะต้องสนุกสนานเข้าไว้ แต่เพลงนี้จังหวะปานกลางกำลังพอดีครับ ถึงแม้ว่า Tove Lo เป็นแค่แบ็คอัพ แต่เสียงร้องของเธอกลับโดดเด่น ไปด้วยกันได้กับเสียงเฮียคริส เสริมมิติให้เพลงนี้ น่าจดจำมากยิ่งขึ้น สมควรแล้วที่ห้อยชื่อเธอปะหน้าแทร็ค

Kaleidoscope เป็น track ดนตรีบรรเลงสั้นๆ แปะด้วยคลิปเสียงท่านประธานาธิบดี บารัค โอบามา ร้องเพลง Amazing Grace เพลงโฟล์กของชาวคริสเตียน Army Of One เพลงนี้แบ่งเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกมาแบบอัลเทอเนทีพชัดเจน เล่นลูกเล่นด้วยเสียงเอคโค่ แล้วตัดสลับพาร์ทสองที่มาในแบบดัพเสต็ปเบาๆ ถือเป็นเพลงที่เดาทางได้ยากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง

Amazing Day เพลงนี้ผมโคตรชอบ บัลลาดขึ้นต้นเพลงก็กินขาดแล้วล่ะครับ อินโทรเพลงนี้คล้ายๆกับ Always In My Head  อยู่เหมือนกันนะครับ ฟังแล้วนึกถึง Ghost Stories อีกแล้วครับท่าน แต่เพลงนี้มันไม่หม่น ไม่อึมครึมเท่ากับเพลงนั้นแน่นอน เนื้อหาก็ลึกซึ้งกินใจซะเหลือเกิน เพลงมันไม่ได้พูดถึงความรักเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเพลงเพื่อชีวิตชั้นดีที่พูดถึงการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกๆคนต่างเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายมาทั้งนั้น  แต่เราทุกคนก็ต่างมีวันวานที่ดีๆในอดีต เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเราว่า โลกใบนี้ยังมีด้านหรือแง่มุมที่สวยงามซ่อนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงมีแต่แง่มุมที่โหดร้ายมากน้อยเพียงใดก็ตาม  เป็นดีงามตามท้องเรื่องจริงๆครับ หลายคนน่าจะประทับใจเพลงนี้ไม่ต่างจากผมอย่างแน่นอน

Up&Up แทร็คปิดท้ายอัลบั้มชุดนี้ แถมเป็นแทร็คที่ยาวที่สุดในชุดนี้อีกด้วย ไหนๆก็เป็นเพลงสุดท้ายแล้วก็ต้องจัดเต็มกันซะหน่อย เพลงมาแบบเปียโนบัลลาดสบายๆ ท่อนฮุคโดดเด่นด้วยคอรัสเด็กๆประสานเสียงกัน ตัวเพลงมีความหลากหลายไปในตัว ไม่มั่วสะเปะสะปะ ทำให้ผู้ฟังอย่างผมเพลิดเพลินจนลืมไปเลยว่า เพลงนี้ยาว 6 นาทีกว่าๆ เนื้อหาเน้นให้กำลังใจ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ที่มาของเพลงนี้ไม่เพียงแต่จะสื่อถึงบทสรุปของอัลบั้มชุดนี้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสื่อถึงการเดินทางบนเส้นทางดนตรีของโคลเพลย์อีกด้วย อาจจะกล่าวเป็นนัยๆว่านี่คงเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของโคลเพลย์จริงๆแล้วครับ จะว่าไปแล้วแทร็คปิดอัลบั้มแทร็คนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมทางความคิดของอัลบั้มชุดนี้เลยก็ว่าได้ เป็นแทร็คปิดที่ทำได้ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีของวงดนตรีแนวหน้าระดับโลกจริงๆครับ


A Head Full Of Dreams สตูดิโออัลบั้มชุดที่เจ็ดชุดนี้ยังคงเส้นคงวาในเรื่องของคุณภาพงานเพลงตามมาตรฐานของโคลย์เพลย์ได้ดีเช่นเคย เป็นงานที่เสพง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าชุดนี้ดนตรีจะเจือปนไปด้วยอิเล็กโทรนิคป็อบเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ทางวงก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของวงซักทีเดียว สังเกตได้จากการนำดนตรีสดมามีส่วนร่วมในเพลงมากกว่าชุดก่อนอย่างแน่นอน บัลลาดเปียโนหรือรีฟกีตาร์ติดหูอันเป็นซิกเนเจอร์ของวงก็ยังคงมีให้เห็นอยู่นะครับ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะที่ทางวงไม่ได้ทำตามสมัยนิยมเกินไป จนลืมเอกลักษณ์เก่าๆของวง แต่น่าเสียดายที่ชุดนี้ยังไม่ถึงคำว่ามาสเตอร์พีชได้อยู่ดี ดูน้อยไปสำหรับผม ยังไม่เต็มอิ่มพอ มีความรู้สึกขาดๆเกินๆ แปลกๆ บางแทร็คฟังดูสนุก แต่ก็สนุกแบบประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เติมเต็มความรู้สึกได้ดีเท่าสองอัลบั้มแรกของวง ที่ตั้งมาตรฐานไว้สูงมากๆ แต่ละแทร็คขาดความต่อเนื่อง ไม่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แทร็คดนตรีบรรเลงสองแทร็คก็ออกแนวฟังฆ่าเวลาชัดๆ ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก ถ้าผมมีเวลาไม่มากพอ ผมสามารถกดข้ามแทร็คเหล่านั้นไปได้เลย 

แต่ถ้าคำนึงถึงเรื่องของระยะเวลาในการงานเพลงชุดนี้ของวงแค่หนึ่งปีครึ่งนั้น ก็ให้อภัยกับข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เพราะระยะเวลาสั้นมาก ผลงานเลยออกมาตามอัตภาพครับ ขาดๆเกินๆบ้าง ถ้ายืดเวลาในการทำงานเพลงมากกว่านี้ อัลบั้มชุดนี้จะสมบูรณ์แบบมากยิ่งกว่านี้ ถือว่าเป็นมาตรฐานกลางๆ ไม่ดีสุดหรือแย่สุด แต่แอบเสี่ยงต่อการถูกลืมเหมือน Mylo Xyloto ยังดีครับที่ A Head Full Of Dreams เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักฟังเพลงที่ต้องการอะไรที่รีแลกซ์ คลายเครียดได้บ้าง เพราะเนื้อหาเพลงส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี ไม่มีพิษมีภัย


จรรโลงใจได้ก็โอเคแล้ว

Top Track : Amazing Day , Up&Up , Fun & Everglow

Give  7/10



Thanks For Reading

See Ya

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Thank Me Later - Drake

ไม่ต้องขอบคุณอะไรมาก




ตามที่สัญญาเอาไว้กับชาวเพจว่า ผมจะหยิบเอาอัลบั้มฮิพฮอพในปี 2010 มารีวิวใหม่อีกรอบ ภายใต้ Hashtag #turnbackto2010 ในปี 2010 จะว่าไปแล้วเป็นยุครุ่งเรืองแห่งวงการฮิพฮอพอย่างแท้จริงครับ ผมเชื่อว่าใครหลายๆคนที่เป็นแฟนเพลงฮิพฮอพรวมถึงตัวผมด้วย เริ่มต้นฟังฮิพฮอพอย่างจริงจังก็ปีนี้เนี่ยแหละครับ  ศิลปินที่เราจะมารีวิวในวันนี้ก็คือ Drake แร็พเปอร์ชาวแคนาเดียน ที่มาพร้อมกับอัลบั้ม Thank Me Later แอลพีอัลบั้มแจ้งเกิดในวงกว้าง ก่อนหน้านั้นเดรกเคยแจ้งเกิดมาแล้วในอีพีอัลบั้ม So Far Gone ที่มีซิงเกิ้ลฮิตอย่าง Successful และ Best I Ever Had ไปได้สวยในบิลบอร์ดชาร์ตและได้ไปร่วมแจมกับแร็พเปอร์รุ่นพี่อย่าง Kanye West , Lil Wayne และ Eminem ในเพลง Forever อีกด้วย 

Theme ในอัลบั้ม Thank Me Later จะออกไปในทาง Solid Hiphop  เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงการใช้ชีวิตแบบคนมีชื่อเสียง ความรักที่ไม่ค่อยสมหวัง อกหักบ้างไรบ้าง บอกเล่าความกังวลกับชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังมีชื่อเสียง อัลบั้มชุดนี้ได้ Noah 40 Shebib โปรดิวเซอร์สหายคู่ใจคนปัจจุบันและ Boi-1-da มาช่วยให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 

เปิดอัลบั้มด้วย Firework พูดถึงพ่อแม่ของเดรกที่แยกทางกัน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Rihanna แบบอ้อมๆ Alicia Keys เป็นแขกรับเชิญเพลงนี้ สิ่งที่ผมชอบมากๆในแทร็คเปิดอัลบั้มชุดนี้นั่นก็คือ บรรยากาศเพลงค่อนข้างสงบและเป็นส่วนตัว การโชว์สกิลร้องของเดรกในท่อนฮุกได้อย่างไพเราะและกินใจคนฟัง คนเดียวก็เอาเพลงนี้ได้อยู่ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะได้นักร้องสาวเพชรเม็ดงามแห่งยุคมามาแจมในท่อนฮุกแค่ครึ่งเดียวก็ตาม


ต่อด้วย
Karaoke เป็นแทร็ค first impression บวกกับความแปลกใจนิดๆ ไม่น่าเชื่อว่าแร็พเปอร์ก็ร้องเพลงทำเสียงหลบได้ มันทำให้เพลงนี้ออกไปในทางแร็พที่มีความเป็นป็อบอาร์ต แตกต่างจากเพลงป็อบแร็พทั่วๆไป แทร็กนี้เดรกทำให้ผมปลาบปลื้มมากๆครับ repeat หลายรอบเลยล่ะ เพลงนี้พูดถึงชีวิตของเดรกที่กำลังจะได้เป็นซุปตาร์ตามที่ไฝ่ฝัน ทุกๆอย่างดูไปได้สวยแต่ความรักของเดรกกับแฟนเก่ากลับมีปัญหาซะงั้น  สืบไปสืบมาแฟนเก่าของเดรกทำอาชีพเป็นนักวางแผนงานแต่งงานซะด้วย เนื้อหาเพลงนี้น่าจะโดนใจคนที่กำลังตามความฝันตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดใจกับแฟนเก่าไม่ลง ใครที่กำลังเผชิญปัญหาลำบากใจแบบนี้ น่าจะอินเพลงนี้

หลังจากพูดถึงปัญหาเรื่องความรักที่สวนทางกับชื่อเสียงแล้ว เดรกก็ต่อจิ๊กซอว์ต่อด้วยเพลง The Resistance ที่พูดถึงความกังวลใจของเดรกที่มีต่อชื่อเสียงของเขาในอนาคตว่า มันจะทำให้เขาเสียผู้เสียคนหรือไม่ เพิ่มความคึกคักด้วย Over ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดนี้เป็นการประกาศกร้าวอย่างเป็นทางการว่า เขาพร้อมแล้วสำหรับการเป็นแร็พเปอร์อย่างเต็มตัว มาสนุกกับสาวๆต่อในเพลง Show Me A Good Time เพลงแร็พสนุกสนานบีทติดหูได้ Kanye West มาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ให้ ไม่แปลกใจเลยครับว่า สไตล์เพลงค่อนข้างมีอารมณ์ขันไปในตัวตามสไตล์ดั้งเดิมของคานเย สนุกสนานสำเริงกับชีวิตแร็พสตาร์ ในเพลง Up All Night ได้ Nicki Minaj แร็พเปอร์คู่ขวัญร่วมค่าย Young Money มาร่วมแจมด้วย ชีวิตของทั้งคู่ในช่วงนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งคู่เลยครับ ในเวลาต่อมาที่เพลงนี้ดัง นิกกี้ก็ปล่อยอัลบั้ม Pink Friday ตามมาติดๆด้วยครับ Fancy ที่พ่วง T.I และ Swizz Beatz มาร่วมแจมและโปรดิวซ์ด้วย เพลงจังหวะสนุกๆชื่นชมสาวๆที่รักอิสระ มีรสนิยมในการแต่งตัว 

เบรคเพลงเร็วด้วยเพลงแร็พสโลแจมอย่าง Shut It Down ได้ The Dream มาร่วมแจม พูดถึงผู้หญิงที่สวยอยู่แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแต่งเติมอะไรมากมาย แค่นี้ก็สวยถูกตาถูกใจพี่แล้ว ออกแนวชมเขาหรืออยากจะฟันเค้ากันแน่ 555 Unforgettable แร็พผสมผสานอาร์แอนด์บีช้าๆ ได้ Young Jeezy มาช่วยแจม เป็นการอุปมาอุปมัยว่า Drake จะทำเพลงในสไตล์ของเขาให้เป็นที่จดจำแก่ทุกๆคนให้ได้ ในขณะเดียวกันก็ถ่อมตัวและไม่ลืมกำพืดของตัวเองด้วย ในขณะที่ Young Jeezy พูดถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ยังคงไม่ลืมเลือน แต่มันก็มีมุมมองที่สวยงามอยู่ในตัวมันด้วย เป็นแทร็คที่โลกสวย น่าจดจำมากๆสำหรับผม 

ใส่ความหนักหน่วงเข้าไปด้วย Light Up แทร็คนี้น่าจับตามองเพราะได้ Jay-Z มาร่วม Feat ด้วย แต่ไม่ได้ตัดเป็นซิงเกิ้ลอาจเป็นเพราะเพลงนี้ฟังค่อนข้างยากพอสมควร แต่เพลงเจ๋งมากๆ ถ้ารู้ความหมายของเพลงนี้จะเห็นได้ว่า สองคนนี้มีความคิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว Drake แร็พเปิดบอกเล่าถึงชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เดรกเองก็เตือนสติตัวเองเสมอว่า เมื่อเขาเป็นคนดังแล้ว เขาจะไม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่ๆ 

ส่วนท่อนสองที่ Jay-Z แร็พนั้นไปทางตรงข้ามเลยล่ะ ออกแนวแทงใจดำเดรกอย่างเห็นได้ชัด โดย Jay-Z แอบเตือน Drake ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนมาแล้ว มีทั้งเรื่องการวางตัวในวงการเพลงฮิพฮอพ รวมไปถึงด้านมืดของชื่อเสียงที่ทำให้เปลี่ยนเราให้เป็นคนละคน ประโยคสุดท้ายที่เจย์-ซีแร็พเป็นอะไรที่พีคมากดั่งท่อนที่ว่า 

Sorry mama, I promised it wouldn't change me But I would have went insane had I remained the same me 

Fuck niggas, bitches too, all I got is this money, this'll do

แปลเป็นไทยจับใจความได้ว่า ต่อให้เอ็งดังแค่ไหน ชีวิตและตัวตนของเอ็งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กูเคยหลงระเริงกับมันมาแล้ว 



Miss Me ซิงเกิ้ลที่สามจากอัลบั้มชุดนี้ เพลงนี้เดรกโหยหาความคิดถึงจากคนรักเก่าได้ Lil Wayne มาร่สมฟีทด้วย ฟังเพลินๆ คั่นเวลาด้วยเพลงช้าๆเข้าสู่โมหดร้องเต็มๆด้วย Cece's Interlude ต่อด้วยซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Find Your Love เพลงนี้ทำให้เดรกแจ้งเกิดอย่างวงกว้าง ติดท็อบเท็นในบิลบอร์ดชาร์ต เพลงอาร์แอนด์บีเต็มสูบบวกด้วยจังหวะบีทอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Kanye West ผมเชื่อว่าสาวๆทุกคนต้องเริ่มหลงเสน่ห์และเคลิ้บเคลิ้มไปกับเสียงร้องของเดรก จนต้องยื่นใบสมัครเป็นแฟนคลับกันเลยทีเดียว ผมเองก็ชอบครับ  ปิดท้ายด้วย Thank Me Now ชื่อเพลงออกแนวกวนตีนคนฟัง มึงต้องขอบคุณกูเดี๋ยวนี้ แร็พยาวๆขอบคุณคนโน้นคนนี้ไปเลย ได้ทิมบาแลนด์มาร่วมโปรดิวซ์ให้



Thank Me Later สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของเดรกถือว่าไปได้สวยมากๆครับ เดรกสามารถจรรโลงใจผู้ฟังตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้าย ตัวเพลงเข้าถึงง่าย เพราะเดรกเลือกหยิบประด็นเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองมาพูดในอัลบั้มชุดนี้ เลยทำให้ตัวเพลงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ละเพลงในอัลบั้มชุดนี้ส่วนใหญ่จะไม่อารมณ์กระโชกโฮกฮากหรือฮาร์ดคอมากนัก ไปในทางที่เนิบนาบ ยืดยาดบ้าง แต่ก็สามารถหยิบขึ้นมาฟังได้เรื่อยๆในระยะยาว จุดเสียของอัลบั้มชุดนี้ คือ วนเวียนอยู่กับเรื่องของชื่อเสียงและผู้หญิงดูไม่แปลกใหม่เอาเสียเลย แต่การโชว์สกิลการแร็พและการร้องของเดรกก็เป็นตัวการันตีมากพอที่ทำให้เดรกแตกต่างและสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการในระยะยาวได้ ไม่ใช่แค่แร็พได้หรือเป็นเด็กปั้นของ Lil Wayne เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ Drake เป็นแร็พเปอร์ที่ร้องเพลงได้ต่างหาก Drake หยิบจุดแข็งของตัวเองมาใส่ในงานชุดนี้ เลยทำให้อัลบั้มชุดนี้และชุดต่อๆมาแตกต่างจากแร็พเปอร์รายอื่นอย่างแน่นอน จะว่าไปแล้วในวงการฮิพฮอพไม่ค่อยมีแร็พเปอร์คนไหนร้องเพลงได้เป็นตุกเป็นตักเท่าเขาคนนี้


แร็พเป็นแถมร้องได้จับตัวได้ยากมากในสมัยนี้

Top Track : Firework , Karaoke , Find Your Love , Show Me A Good Time , Unforgettable , Light Up

Give 8/10


Thanks For Reading

 See Ya




  

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] 25 - Adele

ก้าวเข้าสู่เบญจเพส





ช่วงสิ้นปีนอกจากจะเป็นเทศกาลแห่งความสุขต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงแล้ว ยังเป็นช่วงที่นักฟังเพลงอย่างเราน่าจะมีความสุขสุดๆเมื่อได้ฟังผลงานใหม่ๆของศิลปินซุปตาร์ระดับโลกที่เลือกช่วงเวลาแห่งความสุขช่วงนี้ในการปล่อยผลงานออกมาให้ฟังส่งท้ายปี คราวที่แล้วผมเพิ่งประทับใจผลงานใหม่ของ Justin Bieber ไปหมาดๆ คราวนี้ก็ได้เวลาของ Diva สาวแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษอย่าง Adele ออกผลงานชุดที่สามให้แฟนเพลงได้ชื่นใจกันบ้างในอัลบั้มที่มีชื่อว่า 25 ซึ่งชื่ออัลบั้มของเธอก็สอดคล้องกับอายุปัจจุบันของเธออีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเธอจะตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้ไปอีกนานหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปแล้วล่ะครับ คนที่กล้าเอาเลขอายุของตัวเองมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้มก็มีแต่อเดลเท่านั้นที่ทำแล้วสามารถเป็นที่จดจำได้ทั่วโลก ตั้งแต่ 19 อันนี้อาจจะยังไม่เจิดจรัสมากแต่ก็เริ่มเห็นแววความเป็น Diva มาแต่ไกล อีกสองปีต่อมา 21 นี่ซิของจริง ถึงอายุจะแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ศักยภาพและความคิดความอ่านในงานเพลงของเธอมันช่างเกินอายุซะเหลือเกิน ไม่ได้หมายความว่าแก่แดด แต่เก่งกาจอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น Rolling In The Deep เพลงตัดพ้อถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง เผาคนรักเก่าแบบไม่มีชิ้นดี และ Someone Like You เพลงรักตัดใจที่ซึ้งและหนักแน่นได้ใจคนฟังมากๆ  และเพลงอื่นๆอีกมากมายส่งต่อให้อัลบั้ม 21 ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและกวาดรางวัลแกรมมี่ไปนอนกอดบ้านจนเต็มตู้ จากนักร้องสาวร่างอวบที่เคยโดนมองข้าม ตอนนี้กลายเป็นนักร้องสาวที่มีบารมีล้นเหลือจนไปได้ไกลแล้วเรียบร้อย 

4 ปีให้หลังวันนี้ก็มาถึงแล้วครับกับ 25 บทเพลงในอัลบั้มชุดนี้มาพร้อมกับความคิดความอ่านที่โตขึ้นสมวัยจริงๆ เนื้อหาเพลงในชุดนี้ยังว่าด้วยเรื่องของความรักรสขมเช่นเคย สไตล์เพลงป็อบ โซล อาร์แอนด์บีตามสไตล์ถนัด ส่วนโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้ง Max Martin , Shellback , The Smeezingtons และ Ryan Tedder ซึ่งเป็นแนวหน้าของวงการเพลงป็อบยุคปัจจุบัน มาช่วยเสริมทัพในงานชุดนี้ด้วย




เริ่มด้วยซิงเกิ้ลเปิดตัว Hello คำทักทายง่ายๆแต่มีนัยสำคัญยิ่งนัก เปิดมาแบบเงียบๆ แต่ท่อนฮุกมาแบบทรงพลังด้วยบัลลาดเปียโน อารมณ์เพลงโซล ขนลุกไปพร้อมๆกับความหมายของเพลงอีกเช่นเคย จะเกิดไรขึ้นเมื่อเรายังคงรื้อฟื้นความรักครั้งเก่าอยู่ ทั้งๆที่เวลาผ่านไปนานก็จริง เราก็ยังลืมเขาไม่ได้อยู่ดี เป็นเพลงที่เหมาะกับการเป็นซิงเกิ้ลแรกที่สุด ชื่อก็สื่อ แถมตัวเพลงยังคงบ่งบอกความเป็นอเดลอยู่เต็มเปี่ยม Send My Love (To Your New Lover) เพิ่มความคึกคักเข้ามานิดนึงด้วยจังหวะเพลงป็อบอคลูสติก ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะว่าด้วยความรักที่จบลงอย่างน่าเสียดาย แต่ก็แฝงด้วยความจริงใจ อวยพรให้เธอนั้นได้ไปด้วยกันดีกับเขาคนนั้น และที่สำคัญดูแลเค้าคนนั้นให้ดีด้วยล่ะ ได้ Max Martin มาอำนวยการแทร็คนี้ หลังจากที่ฝากความยินดีให้ความรักครั้งใหม่ของคนรักเก่าแล้ว มาต่อด้วย I Miss You โซลหลอนๆ ฟังแล้วเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งอารมณ์อาลัยอาวรณ์เลยล่ะครับ 




When We Were Young ซิงเกิ้ลที่สองมาในสไตล์บัลลาดเปียโนช้าเนิบๆ มาแบบเงียบๆแล้วค่อยพีคในช่วงท้าย เป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ ประทับใจยิ่งกว่า Hello โดยเนื้อหาของเพลงนี้ไม่ได้ต้องการจะสื่อถึงการเจอกันกับคนรักเก่าเพียงอย่างเดียว แต่เหมารวมการเจอเพื่อนเก่าในวัยเยาว์อีกด้วย ซึ่งมันก็มาพร้อมกับความทรงจำในวัยเยาว์ที่มีต่อกันได้ย้อนกลับมาให้หวนรำลึกถึงอีกครั้ง ภาคดนตรีที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปและค่อยจัดเต็มในช่วงท้าย  เสียงอันทรงพลังของอเดลช่วยอุ้มเพลงได้ดี สร้างจุดพีคได้ถูกที่ถูกเวลา

The Remedy ได้ Ryan Tedder มาร่วมแต่งด้วย บัลลาดเปียโนล้วนๆ เมโลดี้ไหลลื่นมาก ฟังแล้วจรรโลงใจยิ่งนัก เนื้อหาโรแมนติกโคตรๆ ถ้าหากเธอกำลังท้อแท้ เจ็บปวดใจ ในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ให้ชั้นคนนี้เยียวยารักษาแผลใจเธอเองนะ หนักแน่นและซื่อตรงในความรักมากๆ อื้อหือ ฟังเพลงนี้แล้วอารมณ์โรแมนติกเข้าสิงเลยครัชท่าน 



เพิ่มความคึกคักนิดนึงด้วย Water Under The Bridge จังหวะเพลงกลางๆไม่หวือหวามากนัก ส่วน River Lea ก็ฟังได้เรื่อยๆ สองแทร็คนี้ไม่หวือหวา ฟังได้เรื่อยๆไม่ถึงขั้นแย่มากจนต้องข้ามไปฟังแทร็คอื่น ถ้ามีเวลาฟังเต็มอัลบั้มมากพอ แต่พอมาถึง Love In The Dark อื้อหือ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด แทร็คนี้อลังการงานสร้างมากๆครับ การเรียบเรียงดนตรีออเคลสตร้ามันช่างละเมียดละไมซักเหลือเกิน ช่วงท้ายเพลงทำผมขนลุกมากๆ ตอนแรกก็คิดว่าเพลงนี้น่าจะมาโทนดาร์กหม่น แต่ที่ไหนได้มันเป็นเพลงที่ดาร์กได้อย่างมีระดับมากๆ เป็นแทร็คที่อีพิคที่สุดในชุดนี้ ชอบมากๆ ห้ามข้ามแทร็คนี้เด็ดขาด





เมื่อกี้นี้ซึมซับความอลังกาลไปแล้ว มาซึบซับความหว้าเหว่ในเพลง Million Years Ago โฟล์คกีตาร์โปร่งๆฟังสบายๆ แต่ให้อารมณ์เหงาหงอย แห้งแล้งสุดๆ ผมให้ความรู้สึกว่าแทร็คนี้เป็นแทร็คที่ผมข้ามไม่ได้อยู่ดี ถ้าคุณคิดว่า Love In The Dark พีคแล้ว 

All I Ask ก็พีคสุดๆเช่นกัน บัลลาดเปียโนล้วนๆ เป็นแทร็คโชว์อินเนอร์และพลังเสียงของอเดลล้วนๆ เป็นแทร็ครองสุดท้ายที่ผมเปิดซ้ำฟังอีกรอบเป็นประจำ เพราะเพลงมันสุดติ่งจริงๆ อเดลกำลังจะฆ่าคนอกหักชัดๆ เสียงของอเดลมันตัดขั้วหัวใจดวงน้อยของผมไปเต็มๆ เข้าถึงอารมณ์คนอกหักหรือคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนได้ดีที่สุด ก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกทางกัน ชั้นขอกอดเธอ จูบเธอ ซั่มเธอ เห้ย ไอ้อันหลังไม่ใช่แหละ เป็นครั้งสุดท้ายจะได้มั้ย ผมเชื่อว่าคนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ฟังเพลงนี้น่าจะอิน เพลงนี้พิเศษสุดๆได้ Bruno Mars มาช่วยแต่งด้วย ไม่แปลกใจเลยครับว่าสไตล์เพลงนี้ค่อนข้างไปทาง When I Was Your Man ของบรูโน่ มาร์สเยอะพอสมควร แต่อันนี้บีบอารมณ์คนฟังได้มากกว่า ด้วยน้ำเสียงและเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องความรักที่ไปด้วยกันไม่รอด

ปิดท้ายด้วย Sweet Devotion เป็นแทร็คที่ฟีลกู๊ดที่สุดในชุดนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากน้อง Angelo ลูกชายคนแรกของอเดลมาเต็มๆ ในช่วงต้นเพลงจะมีเสียงน้องแองเจโล่หัวเราะเยาะก่อนเปิดเพลงด้วย การที่อเดลให้เพลงนี้เป็นเพลงปิดท้าย คล้ายๆว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของอเดลเธอเจอเรื่องผิดหวังในความรักมาเยอะแยะมากมายดั่งที่เธอเล่าตลอด 2 อัลบั้มที่ผ่านมา พอมาถึงแทร็คสุดท้ายในอัลบั้มชุดล่าสุด ผู้ฟังรับรู้ได้เลยว่า การได้เป็นแม่นั้นเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุดของชีวิตผู้หญิงคนนึงจริงๆ ชีวิตของ อเดลตอนนี้ก็มีความสุขเช่นกัน เพราะเธอได้ทำฝันที่เป็นจริงแล้ว เป็นชีวิตที่แสนหอมหวานดั่งชื่อเพลง




อัลบั้มเบญจเพสชุดนี้เป็นการกลับมาของอเดลที่สมศักดิ์ศรี ยังคงรักษาคุณภาพได้ดีเช่นเคย ทั้งภาคดนตรี การร้อง การสื่ออารมณ์อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงอย่างแน่นอน การบันทึกเสียงยอดเยี่ยมมากๆ การเรียบเรียงดนตรีมีความพิถีพิถัน ทุกอย่างทำออกมาได้อย่างลงตัว เนื้อหาอย่างที่บอกไปมีความคิดความอ่านที่โตขึ้น ถ้าจะซื้อแผ่นมาฟังก็คุ้มครับ 

ถึงเพลงในชุดนี้มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่การเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังทุกเพศทุกวัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่นัก โดยเฉพาะวัยรุ่น อันนี้ก็ต้องยอมรับกันตามตรงครับว่า เพลงของอเดลมีความอืดอาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วัยรุ่นอาจเซ็งกับการฟังเพลงในชุดนี้อย่างแน่นอน และที่สำคัญเพลงของอเดลนั้นว่าด้วยเรื่องความรักของผู้ใหญ่ที่โตแล้ว มันไม่ใช่ puppy love เอาซะเลย มันคือความบันเทิงรสขมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งความรักของเด็กวัยรุ่นนั้นยังคงไม่ไปไกลถึงขนาดนั้นแน่นอน ถ้าอยากฟังเพลงรักอกหักจังหวะคึกคักเหมาะกับวัยรุ่นล่ะก็ให้ไปฟัง Taylor Swift ,  Ariana Grande หรือไม่ก็ Carly Rae Jepsen น่าจะดีกว่า แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงของ มาราย แครี่ หรือ ซาลีน ดีออน การรับฟังความบันเทิงรสขมของ Adele ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไปแน่นอน


ถึงจะขม แต่ก็เป็นเรื่องจริงล้วนๆ


Top Track : All I Ask , Love In The Dark , When We Were Young , The Remedy , Million Years Ago

Give  8.5/10

Thanks For Reading
See Ya