วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] E•MO•TION - Carly Rae Jepsen

ความรู้สึกที่ไม่ได้มาลอยๆ






Carly Rae Jepsen นักร้องสาวชาวแคนาเดียนกลับมาอีกครั้งในอัลบั้ม EMOTION (ของแท้ต้องมีจุดปะกลางด้วยนะ) เป็นการกลับมาอีกครั้งในรอบ 3 ปีนับจากอัลบั้ม Kiss ที่มีซิงเกิ้ลฮิตติดบิลบอร์ดอย่าง Call Me Maybe ยอมรับเลยว่าเพลงนี้เป็นเพลงป็อบที่ข้าพเจ้าเฉยที่สุดเลยล่ะ มันเป็นเพลงป็อบที่ดูสร้างกระแสมากกว่า ผมเคยสบประมาทเธอจากเพลงนี้เหมือนกัน เป็นเพลงป็อบโหลๆดูธรรมดามากๆ สร้างกระแสจากเอ็มวีมากกว่า แต่เพื่อนแนะนำให้ผมฟังอัลบั้ม Kiss กลับพบว่ามีหลายเพลงดูดีกว่าที่คิดเสียอีก แต่นักฟังกลับมองข้ามเลยกระแสไม่ดีอย่างที่คิด 

ตั้งแต่ผมได้ฟัง Kiss ก็เป็นปลื้มเธอไปโดยปริยายเลยครับ นอกจากเธอจะน่ารัก เป็นสาวติดดินแล้ว ทักษะในการแต่งเพลงของเธอไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย   อัลบั้มนี้ก็เช่นกัน E•MO•TION มีการพัฒนาจากชุดที่แล้วพอสมควร   เพลงในอัลบั้มมีความเป็นอิเล็กโทรป็อบ สวนกระแสด้วยเพลงสไตล์ป็อบวินเทจ ยุค'80 ในสัดส่วนที่เท่ากัน ทำให้ผู้ฟังซึมซับความเก่าและใหม่ในเวลาเดียวกัน ถือเป็นสิ่งดีไม่น้อย ที่ทำให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเลี่ยนกับอิเล็กโทรป็อบที่มีจนเกลื่อนตลาดซะเหลือเกิน ได้ย้อนวันวานบ้างเนอะ

จริงๆแล้วอัลบั้มชุดนี้วางแผงไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนแล้วล่ะครับ วางแผงที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรก ยอดขายที่โน่นอยู่ในระดับดี อัลบั้มนี้ได้ Justin Bieber มาคุมงานโปรดิวซ์อีกเช่นเคย เสริมทัพด้วย Scooter Bruan Shellback , Max Martin และอื่นๆอีกมากมาย



มาเริ่มกันเลย Run Away With Me Run Away With Me เริ่มอินโทรให้ผู้ฟัง Alert พอเป็นพิธี จังหวะค่อยๆเป็นค่อยๆไปก่อนที่จะตบด้วยอิเล็กโทรในท่อนฮุก ฟังแล้วให้บรรยากาศเหมือนเรากำลังเดินรอบเมืองกับคนพิเศษ

EMOTION ไตเติ้ลแทร็คประจำชุดนี้ เพลงติดหูดีครับ ฟิลการร้องสูงต่ำกำลังพอดี เนื้อหาก็บ่งบอกคอนเซปต์ได้ดีไม่น้อย ชั้นชอบเธอมาก อยากสะกดจิตให้เธอมารักชั้นให้ได้ ก็ผู้หญิงอ่ะนะ รักมากก็อยากได้มากเป็นเรื่องธรรมดา 5555



I Really Like You เป็นซิงเกิ้ลแรก ซึ่งดูเหมือนจะซ้ำรอยความสำเร็จเดิมอย่าง Call Me Maybe แต่ดนตรีดูพัฒนากว่า ฟังเผินๆเป็นเพลงป็อบใสๆแอ๊บแบ๊ว แต่เนื้อหาพ่อคุณเอ๊ยย ไม่แอ๊บอย่างที่คิดนะครัช




Gimmie Love มาแบบเงียบๆจังหวะเคาะทำได้ดี เสริมด้วยแบ๊คอัพโห่ร้อง ฟังแล้วรู้สึกประทับใจ เพลงนี้ก็บ่งบอกถึงความเป็นอีโมชั่นได้อีกเหมือนกัน ลึกๆแล้วชั้นอยากให้เธอมอบความรักให้ชั้นซะทีเถิด  All That เพลงนี้ยาวที่สุด และเป็นเพลงที่ข้าพเจ้าอวยสุดๆเลยล่ะครับอวยถึงขั้นให้เพลงนี้ติด 20 Best Songs Of 2015 So Far เลยล่ะครัช Carly เพิ่มระดับความยากให้ผู้ฟังมากขึ้นด้วยซาวน์ดเอื่อยๆแต่มีเสน่ห์เหลือล้นด้วยซาวน์ดป็อบยุค 80 ฟังแรกๆก็หลับเหมือนกันครับ แต่พอฟังไปเรื่อยๆเพลงมันค่อยๆซึบซับผู้ฟังไปทีละนิดแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ว่าง่ายๆเพลงนี้ Deep ได้ใจจริงๆ เนื้อหาก็ดูใสซื่อดีครับ ชั้นรักเธอแบบเพื่อนก็ได้ 

ต่อด้วยเพลงสนุกๆ Boy Problem ถือเป็นเพลงชอบมากๆเพลงนึงเลยล่ะ ชอบเทคนิคการเล่นซาวน์ดตัดไปตัดมาเนี่ยแหละ มีชั้นเชิงดี แถมเนื้อหาก็ครีเอทดี ปัญหาเรื่องผู้ชายมักเป็นปัญหาโลกแตกเสมอ Making The Most Of The Night ได้ Sia Furler ป้าแชนดาเลีย มาช่วยแต่งด้วย ตัวเพลงดูลึกลับ ท่อนฮุกยังไม่โดนใจข้าพเจ้าเท่าที่ควร




Your Type เพลงนี้โคตรโดน ติดหูอะไรเยี่ยงนี้ ตอนปล่อยเพลงนี้ลงยูทูปข้าพเจ้าฟังหลายรอบเลยล่ะ มีสิทธิตัดเป็นซิงเกิ้ลแน่นอน เอ็มวีน่าจะตามมาในไม่ช้า (ทำนายเล่นๆ) เนื้อหาก็โคตร Hurt ชั้นขอโทดที่มันรักเธอข้างเดียว ก็ชั้นมันไม่ใช่เสป็คเธอหนิ เป็นผู้ชายมันก็คงเศร้าไม่ต่างกันแหละ Let's Get Lost อินโทรเพลงออกแนวชาวเกาะมากๆ แต่มาพีคตรงท่อนฮุกเนี่ยแหละที่มีคอรัสมาช่วยเป็นตัวเสริม เสียงร้องอันละเมียดละมัยของ Carly มันทำให้เพลงมีความงดงามและน่าจดจำ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องประทับใจจนหลงเพลงนี้ไม่ต่างจากผมแน่นอน 

L.A.Hallucinations ชื่อเพลงอ่านยากนิดนึง ให้อารมณ์เรื่อยๆนะ Warm Blood คราวนี้คารี่ยมาแปลกแฮะ มาสายดาร์กซะแล้ว ซาวน์ดจั๊กจี๊ไปนิดนึง แต่ก็ออกแนวเซ็กซี่อยู่ไม่น้อยนะ When I Needed You  บับเบิ้ลกัมป็อบที่โคตรวินเทจ แอ๊บแบ๊ว สดใสอยู่ไม่น้อย เป็นเพลงปิดท้ายแสตนดาร์ดเวอร์ชั่นที่ยังให้อารมณ์ไม่สุดอยู่ดี สุดท้ายเราก็ต้องหา Deluxe มาฟังอยู่ดีครับ

เพลงแถมที่ข้าพเจ้าโดนใจที่สุดก็คือ Favourite Colour เพลงปิดท้ายเนี่ยแหละครับ เป็นป็อบบัลลาดที่หนักแน่น ปิดท้ายได้ประทับใจ น่าเอาไปเป็นเพลงปิดท้ายแสตนดาร์ดเวอร์ชั่น ส่วนสองเพลงอย่าง Black Heart อิเล็กโทรฟังเรื่อยๆ ไม่มีไรมากและ I Didn't Just Come Here To Dance จังหวะเพลงสไตล์ Dancehall ที่ฟังดูโหลๆไปนิดนึงในความเห็นของข้าพเจ้า ส่วนเพลงแถม Deluxe Version ที่จัดให้ชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ อันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ลองฟังเหมือนกัน เลยขอไม่ออกความเห็นก็แล้วกันครับ



EMOTION ชุดนี้รักษาคุณภาพได้ดีเช่นเคย มีท่อนฮุกติดหู น่ารักๆ เนื้อหาโดนใจผู้หญิงแน่นอน ฟังได้ทุกเพศทุกวัย ไม่มีเรื่องเพศให้กวนใจมากนัก ภาคดนตรีมีการพัฒนาจากชุดก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ผมชอบมากๆคือการไม่ตามกระแสจนเกินไป ชุดที่แล้วอิเล็กโทรจ๋ามากดูตามกระแสไปหน่อย แต่ชุดนี้ก็ยังคงรักษาความทันสมัยของอิเล็กโทรป็อบ ในขณะเดียวกันก็พาเราย้อนวันวาน ให้คิดถึงซาวน์ดป็อบเก่าๆวินเทจดูบ้าง ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกไม่เลี่ยนกับอิเล็กโทรป็อบจนเกินไป ชุดนี้มันคงจะเหมาะกับคนที่กำลังโหยหาดนตรีแนววินเทจอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเพลงในอัลบั้มชุดนี้อาจจะยังไม่ถึงคำนิยามของคำว่า EMOTION ได้ลึกซึ้งเท่ากับเพลงโซล เพราะบางเพลงก็มีจุดเปราะบางเหมือนกัน ซึ่งนั่นเป็นข้อจำกัดของเพลงป็อบ ซึ่งทำให้อัลบั้มชุดนี้ยังไปไม่ถึงคำว่า Masterpiece  แต่ข้อดีของเพลงป็อบก็สามารถเข้าถึงอารมณ์คนฟังได้ง่าย ไม่เป็นการซับซ้อนจนเกินไป

อย่างน้อยความรู้สึกที่สัมผัสได้จากสาวคนนี้ ไม่คิดเองเออเองก็แล้วกัน

Top Track : Let's Get Lost , Your Type , All That , Boy Problem EMOTION , When I Needed You

Give 8/10





วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Compton A Soundtrack By Dr.Dre -Dr.Dre (2015)

ของฝากจากเมือง Compton






Dr.Dre แร็พเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์มือทองกลับมาอีกครั้งในอัลบั้มที่มีชื่อว่า Compton เป็นการกลับมาในรอบ 16 ปีทิ้งช่วงจากอัลบั้มที่ชื่อว่า 2001 เมื่อปี 1999 เวลาผ่านไปไวอะไรเยี่ยงนี้ 16 ปีผ่านไปเราได้ฟังผลงานชุดใหม่ของ Dr.Dre แล้วหรอเนี่ย ก่อนหน้านี้มีโปรเจ็ค Detox ซึ่งมีซิงเกิ้ลนำร่องอย่าง I Need A Doctor และ Kush มาเรียกน้ำย่อยแต่ตอนนี้โดนยกเลิกไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่พึงพอใจโปรเจ็คนี้ จนกระทั่งเดรได้ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังอัตชีวประวัติของวงตัวเองอย่าง Straight Outta Compton (กำลังฉายในอเมริกา ณ ตอนนี้) จึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาจนก่อให้เกิดโปรเจ็ค Compton ส่งท้ายอาชีพแร็พเปอร์ของเฮียเดร เพื่อไปทำงานเบื้องหลังแบบเต็มตัวต่อไป
Dr.Dre เป็นบุคคลที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการฮิพฮอพเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นหนึ่งบุคคลสำคัญที่ทำให้แนวเพลงฮิพฮอพเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การเป็นสมาชิก N.W.A แก๊งสเตอร์ฮิพฮอพกรุ๊ปแรกของโลก อัลบั้ม The Chronic ต้นกำเนิดฮิพฮอพจังหวะ G-Funk อันเป็นเอกลักษณ์ Nutting But A G Thang เท่โคตรๆ หน้าปกก็คลาสสิคเป็นเทรนด์ฮิตของแร็พเปอร์มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่ 2Pac เสียชีวิตไปอย่างน่าใจหาย ค่ายเพลงเก่า Death Rows Record ก็ตายไปจากวงการพร้อมๆกับ 2Pac ถึงจะวงการฮิพฮอพจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่เฮียเดรก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะสานต่อแนวเพลงฮิพฮอพไปตั้งค่ายเพลง Aftermath Entertainment ดันแร็พเปอร์หน้าใหม่จนแจ้งเกิดกันได้ถ้วนหน้า โดยเฉพาะการเป็นป๋าดันให้แร็พเปอร์ผิวขาว Eminem จนทำให้ดังผลุแตก เป็นที่ยอมรับในสายดนตรีของคนผิวสีได้สำเร็จ ตอกย้ำความสำเร็จให้กับตัวเองอีกครั้งด้วยอัลบั้ม 2001 ที่มีซิงเกิ้ล Still D.R.E , The Watcher , The Next Episode เป็นเพลงฮิตตลอดกาลที่ไม่มีแฟนเพลงฮิพฮอพคนไหนไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าผลงานของดร.เดรออกไปทาง Compilation แร็พน้อย แต่แขกเยอะ แต่ตัวเพลงที่มีจังหวะเป็นเอกลักษณ์มากบวกกับโปรดักชั่นที่ดีเยี่ยม ผลงานสองอัลบั้มที่ผ่านมาของเฮียเดรเป็นอะไรที่คลาสิคยากเกินจะถูกลืมจริงๆ





หลังจากนั้นก็ไปทำงานเบื้องหลังมากกว่า เป็นป๋าดันให้ศิลปินอื่นๆนอกเหนือเอมิเนมไม่ว่าจะเป็น
50 Cent , The Game , Kendrick Lamar และอื่นๆอีกมากมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีจากการขายหูฟัง Beats และขายหุ้นส่วนนึงให้กับ Apple ด้วย จนมีรายการวิทยุ Beats1 เป็นส่วนนึงของ Apple Music อีกด้วย เก่งด้านดนตรีแล้วยังเก่งเรื่องธุรกิจอีกโคตรนับถือเลยล่ะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Dr.Dre ยังมีบารมีในวงการเพลงจนถึงทุกวันนี้ ต่อให้ในยุคนี้มีแร็พเปอร์หน้าใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลงานชุดสุดท้ายจึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองจากแฟนเพลงทั่วโลกอยู่ดีครับ




ส่วนแขกรับเชิญในอัลบั้มชุดนี้เฮียเดรแกรวบรวมเพื่อนเก่าและศิลปินในสังกัดหน้าใหม่ๆมาร่วมงานกันเพียบ ล้วนแต่มาจากเมือง Compton แทบทั้งสิ้น มาตั้งแต่ฮิพฮอพยุคแรกๆ Ice Cube , Snoop Dogg , Xzibit , COLD 187um , Eminem , DJ Premier , The Game และศิลปินหน้าใหม่อีกมากมาย รวมถึงศิษย์โปรด Kendrick Lamar ได้แจมถึง 3 เพลงด้วยกัน  อย่างน้อย อัลบั้มชุดนี้ทำให้คนฟังได้เห็นแร็พเปอร์ยุคแรกๆกลับคืนสู่เหย้าอีกครั้งให้หายคิดถึง และได้เห็นศิลปินหน้าใหม่ๆที่ต่างปล่อยของออกมาแบบไม่กั๊กไปพร้อมๆกัน 



(ซ้าย: Justus กลาง : Dr.Dre ขวา: King Mez)


เริ่มอินโทรให้ความรู้เกี่ยวกับเมือง Compton ที่มีแต่คนผิวสีอาศัยอยู่ขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรม ให้อารมณ์เหมือนดูเพลงโลโก้ค่ายหนัง  Talk About It (Ft. King Mez & Justus) เพลงเปิดอัลบั้มสไตล์แก๊งส์เตอร์ชวนโยกหัวอีกเช่นเคย เป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่น้อย เป็นการบอกสถานะตัวเองจากคนที่อยู่ในย่านสลัม จนตอนนี้มาถึงจุดสูงสุดของอาชีพได้แล้ว เป็นการให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย ตอนผมฟังท่อนฮุกผมนึกว่าคนดำร้อง ดูจากรูปข้าพเจ้ายังไม่เชื่อเลย 5555



Dr.Dre & Candice Pillay



ซ้าย Marsha Ambrosius

First Impression ที่โดนใจตั้งแต่แรกฟังหนีไม่พ้น แทร็คที่สาม Genocide ชอบตั้งแต่บีทขึ้นเพลงโคตรเท่ห์ vibe เพลงมันได้ แขกรับเชิญถึงผมไม่รู้จักมักคุ้นเลย แต่แย่งซีนได้อยู่หมัด ตั้งแต่ท่อนฮุกที่โคตรติดหู และประชดประชันสุดๆ 


Call 9-1-1, emergency
Hands up in the air for the world to see
It's murder, it's murder, murder, murder (Murder)
 

ท่อนแร็พเปอร์หญิง Candice Pillay โคตรแย่งซีนเลยล่ะ สำเนียงแอฟริกันนิดๆมีส่วนทำให้เพลงนี้เด่นขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องอาศัยเดรหรือ Kendrick แต่อย่างใด มันเป็นเพลงที่มีจังหวะเท่ห์ก็จริง แต่แอบแฝงความน่ากลัว มันไม่ใช่เพลงที่ฟังเอาเท่ห์เลยล่ะ 

Anderson Paak


2 เพลงต่อมาดูเหมือนจะป็อบแร็พมากที่สุดในชุดนี้เลยล่ะ
It's All On Me (Ft. Justus & BJ The Chicago Kid) ดูเหมือนจะติดหูสุด ส่วน All In A Day's Work (Ft. Anderson Paak) ฟังได้เรื่อยๆครับผม


Darkside/Gone (Ft. King Mez, Marsha Ambrosius & Kendrick Lamar) เป็นแทร็คที่น่าสนใจ ตัวเพลงแบ่งออกเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรก จะออกไปในทาง Trap Rap King Mez เล่าถึงการใช้ชีวิตแบบแก๊งค์อันธพาลในอดีต ตอนหลังค้นพบว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ใช่ตัวเองเลย ส่วนพาร์ทสองเดรก็เสียดสีชีวิตที่เคยหลงระเริงชื่อเสียงในอดีต จนถึงขั้นทะเลาะกับเพื่อนรักร่วมวง Easy-E (จะเห็นได้ว่าเดรเคยเปิดศึกกับ Easy-E ตั้งแต่แยกวง N.W.A มาทำ The Chronic จนกลายเป็นคู่ Beef แห่งประวัติศาสตร์ฮิพฮอพ) จนกระทั่ง Easy-E ตายด้วยโรคเอดส์ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะเอาเพื่อนเก่าเขากลับมา เป็นพาร์ทที่ฟังแล้วสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เปียโนหลอนๆ ส่วน Kendrick ก็แร็พถึงชีวิตที่ต้องรับมือกับชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกันครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองใช้ชื่อเสียงไปในทางที่ผิดนั่นเอง ท่อนนี้ทำให้ผมนึกถึงเพลงในอัลบั้ม To Pimp A Butterfly อยู่เหมือนกัน 




Loose Cannons (Ft. Xzibit & COLD 187um) ดิบ เถื่อน และโรคจิตโคตรๆ มันทำให้ผมนึกถึงเพลงสไตล์เอมิเน็มในอัลบั้มชุดแรกๆเลย Xzibit แร็พแบบกระแทกๆ COLD 187um แม่งเรื้อนได้ใจ คนโลกสวยที่ฟังเพลงนี้อาจรับไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายเพลง มี Skit เล็กน้อยๆที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมด้วย 5555




Issues (Ft. Ice Cube & Anderson Paak) รีฟกีตาร์เปิดเพลงเจ๋งได้ใจ Ice Cube แร็พได้น่าเกรงขามเช่นเคย เนื้อเพลงสะท้อนความรุนแรงในเมือง Compton อย่างเห็นได้ชัด เมืองนี้แม่งเถื่อน มึงต้องมีพรรคพวก อยู่คนเดียวมึงไม่น่ารอดว่ะพวก 

ต่อด้วย Deep Water (Ft. Kendrick Lamar & Justus) ซาวน์ดมาแบบดาร์กๆเงียบๆ มีเสียงคนจมน้ำเป็นซาวน์ดประกอบ ฟังดูโหดร้าย แต่เพลงนี้ตั้งใจจะสื่อถึงเกมแร็พที่มีความลึกล้ำซับซ้อนขึ้นทุกวันเหมือนกับมหาสมุทรอันดำมืดที่พร้อมกลืนกินคนที่ด้อยกว่าในวงการแร็พ คนที่เหนือกว่าจะอยู่พ้นมหาสมุทรได้  ท่อนของเคนดริก ถ้าเทียบกับเพลงแจมอื่นๆ ท่อนนี้โดดเด่นสุดครับ ฮาร์ดคอใช้ได้ 

Jon Connor


One Shot One Kill (Jon Connor Ft. Snoop Dogg) ปล่อยให้แร็พเปอร์หน้าใหม่ Jon Connor มารับช่วงต่อบ้าง คราวนี้ได้แจมกับป๋าสนู๊ปด้วย ป๋าสนูปแกฮาร์ดคอด้วยนะเออ ป๋าแกไม่ยอมจริงๆ เบรคฮาร์ดคอด้วย Just Another Day (The Game Ft. Asia Bryant) ฟังสบายๆ The Game เปิดฉากแร็พคนเดียวเต็มเพลง แต่น่าเสียดายที่สั้นไปหน่อย เลยไม่ได้เห็น The Game โชว์แร็พเต็มที่

For The Love Of Money (Ft. Jill Scott & Jon Connor) บัลลาดโทนจริงจัง
Satisfiction (Ft. Snoop Dogg, Marsha Ambrosius & King Mez) จิกกัดวงการเพลงที่ชีวิตจริงของศิลปินดูไม่สวยหรูเหมือน MV เพลง ใน MV คุณดูเป็นคนรวย แต่ชีวิตจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆเรื่องของ 50 Cent ไงล่ะ จังหวะติดหูดีครับ เท่ห์ๆ Animals (Ft. Anderson Paak) เพลงนี้ข้าพเจ้าโคตรชอบ บีทเพลงเจ๋งมากๆ ได้อารมณ์ Old School Hip hop กลับมา ได้ DJ Premier มาโปรดิวซ์ให้ด้วย เจ๋งโลด แทร็คนี้ห้ามข้าม 


Medicine Man (Ft. Eminem, Candice Pillay & Anderson Paak) อีกหนึ่งที่ใครหลายคนต่างรอคอย เพราะได้ Eminem มาร่วมแจมด้วย ตัวเพลงมาแบบเรียบๆแฝงความไม่ชอบมาพากล ท่อน Em โคตรพีค เนื้อหาเล่าถึงเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างเฮียเดรกับเอมิเน็มที่เป็นคู่หูแห่งวงการฮิพฮอพมาจนถึงทุกวันนี้ ผิดหวังนิดนึงสำหรับเพลงนี้ ตอนแรกก็คาดหวังว่าจะเป็นเพลงสนุกส่งท้าย แต่ที่ไหนได้มาแบบเรียบๆแปลกๆ ถ้าไม่มีเอ็มมาฟีท เพลงนี้จืดสนิทเลยบ่องตง 

ปิดท้ายด้วยเพลงสั่งลาที่งดงามและน่าจดจำ Talking to My Diary พรรณนาถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเองที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย เป็นเพลงที่ซึ้งอยู่ไม่น้อย  ส่งสานส์ให้เพื่อนผู้ล่วงลับ Easy-E คิดถึงเพื่อนร่วมวง N.W.A รวมไปถึงขอบคุณคนรอบข้างที่ทำให้เขาไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพได้ ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่สมศักดิ์ศรีแร็พเปอร์ในตำนานจริงๆ ฟังแล้วรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของเฮียแกจริงๆ


การกลับมาครั้งนี้ของเฮียเดรอาจผิดคาดไปหน่อยสำหรับแฟนเพลงเดนตายบางคน ในชุดนี้ฟิลเก่าๆ หายไปเยอะ ใครที่คาดหวังอยากเห็นซาวน์ด G-Funk จากเดรอาจผิดหวังอยู่บ้าง เพราะชุดนี้ใช้ซาวน์ดสมัยใหม่ๆเพียบ ไม่เว้นแม้แต่การเอา auto-tune มาเป็นส่วนผสมของเพลง ปกติเฮียเดรจะออกแนวอนุรักษ์นิยม ไม่น่าเชื่อว่าเฮียแกใช้ซาวน์ดสมัยใหม่แบบนี้ด้วย ภาคการแร็พด้วยอายุขึ้นเลขห้าแล้ว สังขารดูไม่น่าจะฮาร์ดคอได้เต็มที่ มีคนอื่นช่วยแร็พ ทำเอ็ฟเฟคเสียงประกอบบ้าง ช่างแม่งเหอะ เพราะโดยรวมในชุดนี้ ยังคงรักษาคุณภาพของตัวเพลงได้เป็นอย่างดี ทุกเพลงตั้งแต่แทร็คแรกจนถึงแทร็คสุดท้าย มีเทคนิคในการเรียบเรียงดนตรีที่แพรวพราวอยู่ไม่น้อย การใช้แขกรับเชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ หยิบจุดดีของแขกรับเชิญแต่ละคนมาปรับใช้ในเพลงได้เป็นอย่างดี มันทำให้แต่ละเพลงดูมีความหลากหลาย สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อเลยตลอดการฟังอัลบั้มชุดนี้  ไม่ผิดหวังในแง่คุณภาพแน่นอนครับ 

ในชุดนี้ผมสังเกตได้ว่า เฮียเดรต้องการโฟกัสไปที่ศิลปินหน้าใหม่บ้าง ไม่ได้โฟกัสที่ศิลปินเก่าเพียงอย่างเดียว ตัวเพลงเลยใหม่ตาม เป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า ดร.เดรไม่ต้องการย่ำอยู่กับที่ ซ้ำรอยความสำเร็จแบบเดิมๆอีกต่อไป ผมชอบนะที่ศิลปินรุ่นเดอะเปิดทางให้กับศิลปินหน้าใหม่ได้แจ้งเกิดบ้าง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี  อีกอย่างมันเป็นการขยายฐานแฟนเพลงคนรุ่นใหม่ให้คนมาสนใจแนวเพลงฮิพฮอพจากอัลบั้มชุดนี้มากขึ้น 


มรดกตกทอดจากดร.เดรที่ตั้งใจจะมอบให้กับแฟนเพลงทั่วโลกอย่างแท้จริงครับ


Top Track : Genocide , Darkside/Gone (Ft. King Mez, Marsha Ambrosius & Kendrick Lamar) , Animals (Ft. Anderson Paak) , Talking to My Diary , Deep Water (Ft. Kendrick Lamar & Justus) , It's All On Me (Ft. Justus & BJ The Chicago Kid)


Give  8.5/10




FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma



วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

FUNGPLAYLIST : 10 สุดยอดเพลงแร็พเพื่อแม่ (10 Best Rap Songs For Moms)

เนื่องในโอกาสเดือนนี้เป็นเทศกาลวันแม่ เพจ "ฟังไปฟังมา a.k.a กูรูมิวสิค" เลยถือโอกาสนี้จัดเพลย์ลิสต์
FUNGPLAYLIST : รวบรวม 10 สุดยอดเพลงแร็พเพื่อแม่ ต้อนรับเทศกาลวันแม่





เอ้าทำไมต้องเป็นเพลงแร็พ คำถามนี้น่าจะผุดขึ้นอยู่ในหัวของผู้อ่านทั้งหลาย ผมชอบเพลงฮิพฮอพก็ดูจะเป็นเหตุผลที่ง่ายนิดนึง เหตุผลสำคัญคือ ผมสัมผัสอะไรบางอย่างจากเพลงแร็พเหล่านั้นครับ แร็พเปอร์มีวิธีในการบอกรักแม่ที่วิเศษมากๆครับ แร็พเปอร์ส่วนใหญ่โดนพ่อทิ้งหรือไม่ก็แยกทางกัน แม่ของพวกเขาจึงเป็นเสาหลักของครอบครัว แม่จึงเป็นที่พึ่งสำหรับเขา การบอกรักแม่ในรูปแบบเพลงแร็พจึงมีความลึกซึ้งเป็นพิเศษ เพราะแม่คือคนสำคัญของชีวิตพวกเขาจริงๆ นี่แหละครับเสน่ห์ของเพลงฮิพฮอพที่ไม่อยากให้มองข้าม (หมายเลขที่กำกับไม่เกี่ยวกับการจัดอันดับใดๆทั้งสิ้น)


1. Headlights-Eminem Ft. Nate Ruess (2013)







ประเดิมด้วยเพลงบอกรักแม่ในสไตล์ของ Eminem หลายๆคนคงจดจำกันได้ดีว่าเฮียเอ็มเคยแต่งเพลงด่าแม่มาหลายเพลง ตั้งแต่เพลง My Name Is ที่แฉแม่ตัวเองว่าเป็นคนติดยา จนแม่ตัวเองฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นว่าเล่น 3 ปีต่อมาก็มีเพลงด่าแม่ Cleaning Out My Closet เพลงฮิตจากอัลบั้ม The Eminem Show ที่ถือเป็นจุดพีคสูงสุดสำหรับเฮียเอ็ม บทเพลงด่าแม่ไปได้ไกลกว่าที่คิด หลายปีต่อมาหลังจากที่เผชิญกับประสบการณ์อันโชกโชนในวงการเพลงมามากพอแล้ว ก่อเรื่องฉาวน้อยลง กลับตัวทำงานอุทิศวงการเพลงมากขึ้น ในที่สุดเฮียเอ็มจึงแต่งเพลงนี้มาเพื่อขอโทษแม่แท้ๆของเขาที่เคยแต่งเพลงด่า จนเลยเถิดกลายเป็นเพลงดังทั่วโลก 

เป็นเพลงที่ผสมผสานระหว่างสไตล์ของเอมิเน็มที่กับวง Fun.อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราได้เห็นเพลงของเอมิเน็มในสไตล์ที่แตกต่างออกไป เอ็มถ่ายทอดกลอนแร็พได้อย่างลึกซึ้งกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับแม่ที่ไม่ลงรอยกันเท่าไหร่ แต่สุดท้ายแม่ก็ยังเป็นแม่ จะเกลียดลงได้ไง ส่วนพี่เนทร้องท่อนฮุกบิ้วอารมณ์ได้สุดๆ ถ้าใครเคยมีโมเมนต์แบบนี้ คุณอาจจะอินกับเพลงบอกรักแม่สไตล์เอมิเน็มก็เป็นไปได้


2.Look What You've Done - Drake (2011)








ผมเชื่อว่าตอนที่เรายังเยาว์วัย พวกเรามักจะคิดอยู่เสมอว่า เมื่อไหร่เราจะโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ จะต้องทำเช่นไรถึงจะเลี้ยงดูและตอบแทนในสิ่งที่เค้าทำให้กับเราได้ซักที เดรกก็คิดแบบนั้นครับ เดรกแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อจะตอบแทนคนที่มีบุญคุณต่อเขาไม่ว่าจะเป็น แม่ ยาย และลุงที่เลี้ยงดูเดรกมาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่เดรกตั้งใจจะทำก็คือ ทำตามฝันด้วยการเป็น ศิลปิน เพื่อให้ตัวเองมีความมั่งคั่งพอที่จะกลับมาดูแลคนในครอบครัวได้ เพลงนี้ถือเป็นใจความสำคัญของอัลบั้ม Take Care ที่เดรกต้องการจะสื่อถึงนั่นเอง



3.You & The 6 - Drake (2015)





จัดอีกหนึ่งเพลงบอกรักแม่สไตล์เดรก จากอัลบั้มชุดล่าสุด If You're Reading This It's Too Late เราจะเห็นได้ว่าตอนนี้เดรกไปได้ไกลแล้วในวงการเพลง มันต้องมีบ้างแหละครับที่มัวแต่ทำงานเพลง มัวแต่หลงระเริงอยู่กับชื่อเสียงและแสงสีจนลืมแม่ไปอย่างง่ายดาย ไม่มีแม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ ตอบMessage แถมตอนงานยุ่งๆก็แอบขึ้นเสียงใส่แม่อีกต่างหาก ผมเชื่อว่าทุกคนเคยเป็นแบบนี้ไม่ต่างจากเดรกอย่างแน่นอน เฮียเดรกแต่งเพลงนี้เพื่อขอโทษแม่ที่อารมณ์เสียใส่แม่ ไม่มีเวลาอยู่กับเขามากพอ เชิดชูแม่ที่เลี้ยงดูเขาเพียงลำพัง เพลงนี้เดรกตั้งใจส่งความคิดถึงไปยังแม่ของเขา เพื่อพึงระลึกเสมอว่า ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นซุปตาร์ไปแล้ว เขายังไม่ลืมกำพืดและบ้านเกิดของเขาแน่นอน 

เป็นเพลงที่ฟังแล้วอบอุ่น สบายๆ และอินได้ไม่ยาก

4.Sorry Mama - YG Ft. Ty Dollar $ign (2014)






แทร็คปิดท้ายอัลบั้ม My Krazy Life ของแร็พเปอร์แห่งเมืองคอมป์ตัน YG ที่บอกเล่าประสบการณ์จริงอันโชกโชนของตัวเองแบบไม่มีกั๊ก ตั้งแต่การเข้าไปร่วมเป็นสมาชิกแก๊งค์ Blood ไปจนถึงบุกปล้นบ้านคนอื่นตอนดึกๆ เลยทำให้ตัวเขาติดคุกนานถึง 5 ปีด้วยกัน

Sorry Mama จึงเป็นเพลงปิดท้ายที่ผมฟังแล้วปลงมากที่สุดเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ประสบการณ์จริงของ YG ที่เคยติดคุกจริงๆ เพลงนี้จึงเป็นเพลงขอโทษแม่ที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากเลยล่ะครับ มันเป็นเพลงที่สัมผัสได้จริงๆว่า ความรู้สึกของคนที่กำลังจะเข้าคุกมันเป็นเช่นไร และมันเป็นเพลงที่กลายเป็นอุทาหรณ์สอนผู้ฟังไปในตัวด้วย ว่าอย่าใช้ชีวิตที่หลงทางแบบเขา มิฉะนั้นคนที่เสียใจที่สุดไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว แต่เป็นคนที่รักเรามากที่สุดนั่นก็คือ พ่อแม่ ที่ต้องเห็นเราต้องติดคุกติดตารางนั่นเอง

5.Apparently-J.Cole (2014)







ใครที่ได้ฟัง 2014 Forest Hills Drive น่าจะรู้ดีว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่บอกเล่าถึงจุดเปลี่ยนของ J.Cole เลยก็ว่าได้ หลังจากที่เฮียโคลใช้ชีวิตหลงระเริงกับชื่อเสียง ทำตัวเป็นเพลย์บอยไปเรื่อย แถมยังไม่เจอใครที่จริงใจและซื่อสัตย์ต่อเขาได้เลยซักคน เขาเริ่มรู้แล้วว่า คนที่รักเราที่เป็นตัวเรา ต่อให้เราใช้ชีวิตที่เหลวแหลกแค่ไหน แต่คนๆนั้นก็ซื่อสัตย์กับเราเสมอมา คนๆนั้นก็คือ แม่ของเรานั่นเอง ไม่ต้องไปโหยหาความสุขที่ไหนหรอก เพียงแค่คุณใส่ใจกับคนรอบข้างและคนในครอบครัวเรา แค่นี้ก็อบอุ่นใจพอแล้ว



6.Dance - Nas (2002)






มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า หากคุณแม่ของคุณได้ลาลับโลกก่อนที่จะได้ชื่นชมความสำเร็จครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง เฮีย Nas ก็มีโมเมนต์เศร้าๆแบบนี้เหมือนกันครับ แม่ของเฮียนาสจากโลกนี้ไปก่อนที่อัลบั้ม God's Son กำลังจะมาถึง เฮียนาสจึงตัดสินใจส่งสานส์ถึงแม่ที่จากไปแล้วด้วยเพลงๆนี้ และรวมเพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม God's Son ด้วยเลย

คำว่า Dance ฟังดูจะเป็นอะไรที่สนุกสนาน แต่ถ้าคุณได้ฟังเพลงนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยล่ะครับ ยิ่งคุณได้ฟังเพลงแร็พเพลงนี้ที่ถ่ายทอดโดยแร็พเปอร์ storytelling ระดับตำนานแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ


7.Hey Mama - Kanye West (2005)













ลั๊ลลั๊ลลา ลั๊ลลา ลั๊ลลั๊ลลา ลั๊ลลั๊ลลาลา เด่นขึ้นมาทันทีที่ข้าพเจ้าได้ยินครั้งแรก และติดหูจนเอาไม่ออกเลยล่ะ เพลงบอกรักแม่สไตล์ Kanye West แซมเปิ้ลเพลง Today Won’t Come Again ของ Donal Leace เด่นมาแต่ไกลเลยครับ ช่วยให้เพลงมีพลังมากขึ้น เนื้อหาค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์ในอัลบั้ม Late Registration ที่ Kanye ชอบโดดเรียนอยู่เป็นประจำ ดรอปเรียนเพื่อมุ่งไปทำงานเพลงตามฝันที่ตัวเองต้องการ แต่เขามักจะโดนแม่ต่อต้านเสมอ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คานเยกลับไปเรียนต่อตามที่แม่เค้าคาดหวัง ในท่อนฮุกที่บอกว่า I know I act a fool but, I promise you I'm goin back to school I appreciate what you allowed for me / I just want you to be proud of me (Hey Mama) จะว่าไปแล้ว คานเยก็เกิดมาในครอบครัวที่ไร้พ่อเหมือนกับแร็พเปอร์คนอื่นๆ เราจะเห็นได้ว่า Donna West แม่แท้ๆของคานเยเลี้ยงดูคานเยตามลำพังด้วยความยากลำบาก ณ จุดนี้เอง คานเยจึงตัดสินใจโดดเรียน ไม่ได้โดดเรียนไปเล่นเกมส์หรอกนะครับ แต่โดดเรียนไปเป็นทำงานเก็บเงิน เอาไปทำงานเพลงตามความฝันของตัวเอง  ซักวันนึงเขาจะซุปตาร์ รวยล้นฟ้า มอบเงิน บ้าน และรถเป็นของขวัญให้แม่ของเขาได้ ไม่ให้แม่ต้องมาทำงาน สุดท้ายคานเยก้ทำตามฝันได้สำเร็จครับ แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าแม่ของคานเยอยู่ด้วยกันกับเขาได้ไม่นานนัก เสียชีวิตเนื่องจากพิษร้ายของการศัลยกรรมเมื่อปี 2007 

ผมแปะไลฟ์เพลงนี้ไว้ด้วย มาแบบช้าๆแต่เห็นได้ชัดเจนครับว่า ตัว Kanye เองก็เกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน


8.Luven Me - Nelly (2000)






เพลงปิดท้ายอัลบั้ม Country Grammar ในปี 2000 ของ Nelly ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากๆสำหรับ Nelly เป็นเพลงแร็พสโลแจมบอกรักแม่ที่เท่โคตรๆ ท่อนฮุกติดหู ฟังสบาย บีทเท่ห์ เนื้อหาก็น่ารักมาก ถึงคุณจะใช้ชีวิตเหลวแหลก เป็นเด็กป่วนโลกก็ตาม แม่คุณก็ยังรักคุณไม่เปลี่ยนแปลง โคตรชอบอยากให้ลองฟัง


9.All I Got Is You - Ghostface killah Ft. Mary J Blige (1996)






เพลงฮิตสุดซาบซึ้งจากอัลบั้ม Iron Man ของ Ghostface Killah แร็พเปอร์ระดับตำนานหนึ่งในสมาชิกของวงฮิพฮอพสุดคลาสสิค Wu Tang Clan แค่ผมฟังเมโลดี้เพลงนี้ก็กินขาดแล้วล่ะครับ ซึ้งแน่นอน โดยเพลงนี้บอกเล่าถึงความอดทนของแม่แท้ๆของเขาที่คอยเลี้ยงดูลูกตามลำพัง หลังจากที่พ่อของเขาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวได้ทิ้งพวกเขาไปอย่างไม่ไยดี  ยิ่งได้ป้าแมรี่มาช่วยฟีท ยิ่งตอกย้ำความซึ้งเข้าไปใหญ่ อีกหนึ่งเพลงแร็พเพื่อแม่ที่อยากให้หาฟังครับ


10.Dear Mama - 2Pac







ปิดท้ายเพลย์ลิสด้วยเพลงแร็พบอกรักแม่อมตะนิรันด์กาลอย่าง Dear Mama  ของแร็พเปอร์ในตำนานตัวจริงอย่าง 2Pac เพลงนี้ลึกซึ้งเกินคำบรรยายมากๆครับ ใครที่ได้อ่านประวัติของ 2Pac จะรู้ดีครับว่า ชีวิตของทูแพ็คมีประสบการณ์ที่โชกโชนสุดๆ ในหลายบทเพลงที่ผ่านมาแต่งจากเรื่องจริงล้วนๆ มันทำให้เราได้มองเห็นโลกอีกโลกนึงที่ไม่มีศิลปินคนไหนพูดถึง มันโหดร้าย เต็มไปด้วยอาชญากรรมต่างๆนาๆ เมโลดี้ของเพลงนี้ก็ฟังง่าย อบอุ่น สโลแจม เป็นมิตรต่อวิทยุด้วยซ้ำ จากการที่ทูแพ็คได้เล่าสตอรี่ผ่านบทเพลงนี้  จะเห็นได้ว่าชีวิตรันทดมากๆ แม่ลูกคู่นี้เค้าผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ ตั้งแต่ทูแพ็คเกิด แม่ต้องทนทุกข์ทรมานอุ้มท้องอยู่ในคุกตัดขาดจากโลกภายนอก ต่อมาพ่อก็หายหน้าหายตาไปในก็ไม่รู้ ยากจนต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสังคมสงเคราะห์ แถมบ้านก็อยู่ท่ามกลางดงโจรที่พร้อมจะก่ออาชญากรรมทุกเมื่อ

ด้วยตัวเพลงที่มีจังหวะช้าๆ บวกกับเนื้อหาทำให้ผู้ฟังรู้สึกอินกับเพลงนี้ไปโดยปริยาย ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในสภาพสังคมที่ยากลำบากแบบทูแพ็ค แต่บทเพลงของทูแพ็คก็สามารถเข้าถึงแฟนเพลงทั่วโลกได้เช่นกัน ทำให้เรานึกถึงแม่ได้เช่นกัน อีกหนึ่งบทเพลงแร็พบอกรักแม่ที่คุณต้องหามาฟังให้จงได้



เป็นไงกันบ้างครับสำหรับเพลย์ลิสที่ผมจัดมาให้ผู้อ่านทุกๆท่าน หวังว่าผู้อ่านคงอินกับเพลงแร็พบอกรักแม่หลากหลายสไตล์ หลากหลายคำนิยาม ที่ผมตั้งใจสรรหาให้ผู้อ่าน ลองฟังดูนะครับ





วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

FUNGPLAYLIST : จัดอันดับ 20 เพลงสากลประจำครึ่งปี 2015 โดนเว้ยเฮ้ย (20 Best Songs Of 2015 So Far)





FUNGPLAYLIST เป็นชื่อช่วงใหม่ในเพจ ฟังไปฟังมา a.k.a กูรูมิวสิค  ตั้งชื่อให้ล้อกับชื่อเพจนิดนึงก็แล้วกันนะ เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าจะรวบรวมหลากหลายเพลงที่มีหลากหลายสไตล์ จัดเพลย์ลิสตาม Topic ที่เรากำหนดขึ้นเอง  จริงๆแล้วเพจเราเป็นเพจรีวิวอัลบั้ม แต่เนื่องจากงานที่ออฟฟิศเยอะมาก ผมจึงไม่ค่อยมีเวลาที่เขียนบทความรีวิวอัลบั้มได้ ผมจึงจัดทำช่วงนี้ขึ้นมาไว้แก้เหงาชาวเพจ ให้ได้ฟังเพลงเจ๋งๆที่ผมพร้อมจะแนะนำให้ชาวเพจได้ลองฟังกันครับ

ประเดิมด้วยเพลย์ลิสต์แรก ขอ Topic ง่ายๆก่อนก็แล้วกัน  FUNGPLAYLIST : จัดอันดับ 20 เพลงสากลประจำครึ่งปี 2015 ที่โดนเว้ยเฮ้ย (20 Best Songs Of 2015 So Far)  นี่ก็เลยครึ่งปีแล้ว แต่มันหวังว่ามันคงไม่เลทเกินไปเนอะ  (เรื่องอันดับ อย่าไปซีเรียส จัดเอาสนุกจัดเล่นๆ ขอบรรยายเหตุผลเป็นบางเพลงนะครัช)


20.California Roll - Snoop Dogg Ft. Pharrell Williams & Stevie Wonder

ผมเอาเพลงนี้ติดอันดับโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะเพลงมันเหมาะกับการพักผ่อน รีแล็กซ์ได้อีก ฟังแล้วตาเยิ้ม เอ้ย เคลิ้มครับเคลิ้ม จังหวะนีโอ-โซล สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเฮียฟาเรล และแบ๊คอัพระดับ Legend อย่างลุงสตีวี่ มันช่วยเพลงได้เยอะจริงๆ มันช่วยซัพพอร์ตเสียงร้องของป๋านูปได้เป็นอย่างดี ใครว่าป๋าสนู๊ปร้องเพลงไม่เอาอ่าว เปลี่ยนความคิดได้เลย เสียงเข้มๆช้าๆเนิบๆ สไตล์นี้กำลังดี ไม่ต้องไปโชว์พลังเสียงแบบพี่เดรกให้เสียแรงเปล่า ใครอยากหาเพลงแนว easy listenning มานั่งฟัง ลองพิจารณาเพลงนี้ดู

19. Sunday Candy - The Social Experiment & Donnie Trumpet Ft. Jamila Woods

แทร็ครองสุดท้ายจากอัลบั้ม Surf ไซด์โปรเจคของแร็พเปอร์อารมณ์ดีแห่งเมืองชิคคาโก Chance The Rapper ที่ดึงเพื่อนๆวงแจ๊ส The Social Experiment และมือทรัมเปต Donnie Trumpet ก่อเกิดโปรเจคสุดพิเศษนี้ขึ้นมา ในโปรเจคชุดนี้ได้แขกรับเชิญมาร่วมแจมเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Big Sean , Busta Rhyme , B.o.B , J.Cole , Jeremihn และศิลปินอินดี้คนอื่นๆอีกมากมาย ถ้าถามผมว่าแทร็คที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ก็คือเพลงนี้เนี่ยแหละครับ เนื้อหามีความเป็นคริสต์แบบสุดๆ ถึงแม้ว่าผมไม่ได้นับถือคริสต์ แต่ผมก็อินเพลงนี้ไปโดยปริยาย เพราะเพลงมันมีความเป็น Positive สุดๆ โลกสดใส เป็นมิตรกับผู้ฟัง เพิ่มความคิดบวกให้กับผู้ฟัง เป็นอีกหนึ่งเพลงป็อบแร็พที่อยากให้ชาวเพจและทุกๆคนหามาฟังกันครับผม

18. Ayo - Chris Brown & Tyga





ใครว่าเพลงที่ติดอันดับเพลงที่ดีที่สุด ต้องเป็นเพลงที่มีเนื้อหาดีเวอร์ เข้าใจหัวอกมนุษย์ สำหรับชาร์ตเพลงของผมไม่เสมอไปหรอกนะฮับ ถ้าเพลงไหนมันส์ฟังได้เรื่อยๆในระยะยาว เปิดกี่ครั้งก็มันส์ เพลงนั้นติดชาร์ตผมได้ไม่ยาก เพลงนี้ก็เช่นกันครับ ฟังกี่ครั้งก็มันส์ โยกหัวทุกครั้ง มือไม้ไปหมด อยู่ไม่สุขเลยล่ะ 

17. Classic Man - Jidenna Ft. Roman GianArthur







เพลงนี้ว่ากันว่าเป็นเพลง Fancy เวอร์ชั่นผู้ชายเลยก็ได้ เพราะเพลงนี้เข้าเอาบีทเพลง Fancy มาแปะเป็นแซมเปิ้ลนั่นเอง Classic Man ของแร็พเปอร์หน้าใหม่ที่น่าจับตามอง Jidenna มีความแตกต่างจาก Fancy ตรงที่มันมีความเป็นแขกภาระตะผสมผสานอยู่ด้วย มันทำให้เพลงดูมีมิติมากกว่า และมีความครื้นเครงด้วย แถมสไตล์การร้องเป็นแบบสโลแจม ร้องตามได้ไม่ยาก จังหวะชวนโยก ส่วนแขกรับเชิญอย่างนายโรมัน (ขอเรียกสั้นๆ) ก็เข้ากันได้ดี เพราะออกแนวแขกเหมือนกัน 555 ใน MV เสื้อผ้าหน้าผมเนี๊ยบเวอร์ โอลแฟชั่นเหมือนกัน ส่วนเนื้อหาเชิดชูความเป็นตัวของตัวเองของผู้ชาย ไม่ว่าจะมาแนวไหน โอลแฟชั่น Modern จนหรือรวย ตราบใดที่เราเป็นตัวของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่คลาสสิคเสมอ 

เพลงนี้ถูกนำไปรีมิกซ์ใหม่ด้วย ได้ Kendrick Lamar มาร่วมแจม อย่างมันส์ เจ๋งไม่แพ้ออริจินัล

16. Smuckers - Tyler The Creator Ft. Kanye West & Lil Wayne




เป็นเพลงที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดในอัลบั้ม Cherry Bomb แล้วล่ะครับ เพลงอื่นโคตรหนวกหูเอามากๆ เนื้อหาค่อนข้างวกวน แต่สำหรับเพลงนี้ แก้ขัดได้ระดับนึง ผมเชื่อว่าหลายๆคนสนใจเพลงนี้เพราะแขกรับเชิญแน่นอน ที่มีทั้ง Kanye และ lil wayne และแล้ว Tyler ก็สามารถเติมเต็มความคาดหวังของใครหลายคนได้ครับ เพราะเพลงนี้มีการใช้แขกรับเชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกเพลง และถูกเวลามากๆครับ นอกจากนี้สไตล์เพลงนี้มันมีการเปลี่ยแปลงไปเรื่อยๆ มันทำให้ 5 นาทีไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด  Tyler และแขกรับเชิญก็ปล่อยของเต็มที่ สามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การแร็พไปตามสไตล์เพลงที่เปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้เนื้อหาก็ออกแนวฮาๆด้วย ยิ่งทำให้เพลงนี้เป็นเพลง collab มันเท่ห์และมีเสน่ห์ไปโดยปริยาย

15. I Bet - Ciara





เป็นเพลงอกหักที่มีเนื้อหาถึงใจความเป็นผู้หญิงสุดๆ เพราะเพลงนี้  Ciara แต่งจากประสบการณ์จริงที่จับได้ว่าสามีเก่าอย่าง Future มีชู้กับผู้หญิงคนอื่น ผมเชื่อว่าใครๆก็ไม่อยากเจอประสบการณ์แบบนี้ Ciara ก็เช่นกันครับ สิ่งที่ผมชอบคือ เพลงนี้ให้กลิ่นอายความเป็นอาร์แอนด์บียุคแรกๆเลยล่ะ  และเนื้อหาไม่ใช่ผู้หญิงที่ร้องไห้ฟูมฟาย อยากจะตายหรอกนะฮะ แต่แอบแร็พจิกกัดสามีเก่าและหญิงชู้คนนั้นแบบไม่เลี้ยงเลยล่ะครับ สังเกตได้จากการที่เธอแปะเสียงของสามีเก่าเธอด้วย ไม่ได้แปะเพื่อเอาเท่ แต่แปะเพื่อตอกกลับสามีเก่าเธอตั้งหาก ใครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คุณอาจจะอินกับเพลงนี้ก็ว่าได้

14.These Walls - Kendrick Lamar Ft. Anna Wise , Thundercat & Bilal





แทร็คที่ห้าจากอัลบั้มแห่งปี To Pimp A Butterfly ที่ฟังครั้งแรกแล้วคลิ๊กเลย ริทึ่มมันลื่นหูมากๆ ท่อนฮุกก็ติดหู  เนื้อหาสะท้อนด้านดีชั่วของมนุษย์ชัดเจน ถ้าหากกำแพงเห็นทุกการกระทำต่างๆของเรา มันคงบอกเราได้ว่า เราเป็นคนเช่นใดกันแน่ ถ้าเป็นสำนวนไทยก็ใกล้เคียงกับ "ฟ้ามีตา" นั่นแหละครับ เคนดริกวางคอนเซปต์เพลงนี้ได้ซับซ้อนมากๆครับ แสดงให้เห็นถึงความมีอัจฉริยภาพที่ล้นเหลือของเคนดริกเลยล่ะ อีกอย่างนึงที่ผมชอบมากๆคือ เสียงเอคโค่ในท่อนสาม มันทำให้เพลงดูมีมิติขึ้นมาทันที มันทำให้แทร็คนี้น่าจดจำ เกิด First Impression ได้ทันทีที่ฟังจบ


13.Bright - Echosmith




อะไรที่ Easy ๆ มักจะชนะใจคนฟังเสมอ เพลงนี้ก็เช่นกันครับ ออกแนวเหงาๆไม่สมชื่อเลยแต่ดนตรีไพเราะเหลือเกิน  นักร้องนำก็น่ารัก  ผมฟังเพลงนี้หลายรอบเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนเวลาทำงาน เพลงนี้ต้องเป็นลิสต์หนึ่งในนั้นแน่นอน  ตัวเพลงน่ารักชนะใจข้าพเจ้าเต็มๆ แต่ทำอันดับในบิลบอร์ดได้ไม่สูงนัก เนี่ยแหละเป็นเหตุผลที่อยากให้เพลงนี้ Bright ๆ อยู่ในสายตาผู้อ่านไปเลย (เสียดายอดไปดูคอนเสิร์ตวงนี้ ตารางงานแน่นเอี๊ยด ฟัค)


12. The Hills - The Weeknd






ผมจำได้ว่า เอ็มวีเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ผมโพสลงวอลในไทม์ไลน์เพจของผม ได้ฟังครั้งแรกแล้ว เฮ้ย มันใช่เลย Abel คนเดิมของกูกลับมาแล้ว มันดาร์กได้ใจ  ทำให้นึกถึงสไตล์เก่าๆจากอัลบั้ม Trilogy ไม่มีผิดเลยครับผม เฮ้ยชอบว่ะ เอาไปเลยลัคกี้นัมเบอร์

11. I KNOW THERE'S GONNA BE (GOOD TIMES) - Jamie XX Ft.Young Thug & Popcaan


บีทเพลงนี้ติดหูและล้ำมากๆ เพลงไม่ออกแนวตื๊ด แร็พเจ๋ง ฟังมันส์ ใครที่ชอบแนวอิเล็กโทรนิกส์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องชอบเพลงนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าตัวเพลงจะเหมาะแก่การเน้นฟังมากกว่าแดนซ์ปลดปล่อย แต่ก็เป็นเพลงที่มีเนื้อหามองโลกในแง่ดี เพิ่มความคิดบวกให้กับตัวคุณได้เป็นอย่างดี ท่อนฮุกก็ไม่ธรรมดามีความเป็นชนเผ่าสุดๆ เท่โคตรๆ อันนี้กล้าแนะนำเลย

10. Know Yourself - Drake



Listen to Know Yourself by Drake on @AppleMusic.
https://itun.es/th/kuWO5?i=966984987


เดรกแร็พเพลงนี้ได้เฉียบคมมากๆครับ โดยเฉพาะท่อนที่ 2 ของเพลง โชว์สกิลแร็พได้เท่มากๆ เพลงนี้ทำให้เราได้รู้จักเมืองโตรอนโต้บ้านเกิดของเดรก และมันทำให้เดรกได้ฉายาใหม่ 6God เป็นฉายาประดับยศไปโดยปริยาย

9. One Man Can Change The World - Big Sean Feat. Kanye West & John Legend





ฟังครั้งแรกรู้สึกประทับใจทันที  มันเป็นเพลงแร็พบัลลาดที่งดงามมากๆ มันช่างลึกซึ้ง ข้าพเจ้าสัมผัสได้ทุกๆครั้งที่ได้ฟัง เนื้อหาก็ดีมากๆ เหมือนให้กำลังใจเรา ให้เรารู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง รักตัวเองให้มากขึ้น หัดพึ่งพาตัวเองในยามที่เราไม่เหลือใคร ถึงเราจะไม่ได้เป็นนักการเมือง เซเลป เป็นแค่คนธรรมดาก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ มันอยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปล่า เฉกเช่นกับเพลงนี้ จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบนอกเหนือเนื้อหาเพลงแล้ว ชอบที่การแร็พของบิ๊กชอนและเมโลดี้เปียโนของเฮียจอห์น เลเจนท์ มันช่วยทำให้เพลง deep เติมเต็มความรู้สึกของผู้ฟังได้อย่างเต็มเปี่ยม เสียดายที่เพลงนี้ดันเป็นเพลงที่นอกสายตานักวิจารณ์ทั้งหลาย ผมเลยให้เพลงนี้ติดอันดับในท็อปเท็นซะเลย


8. Style - Taylor Swift






ใครว่าข้าพเจ้าหลีกเลี่ยงเพลงเมนสตรีม เพลงตลาด ไม่หรอก ถ้าเพลงไหนโดนก็ติดชาร์ตเหมือนกัน เพลงสไตล์มีการเรียบเรียงดนตรีได้อย่างโฉบเฉี่ยวและหวือหวามากๆ  ท่อนฮุกติดหุตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมฟัง ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ มีสไตล์สมชื่อเพลงเลยครับ

7.All That - Carly Rae Jepsen






ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะมีกระแสไม่แรงเท่ากับเพลงก่อน แต่สำหรับ Lead Single เพลงนี้ไม่ธรรมดาจริงๆครัช คารี่ย์ขอสวนกระแสป็อบด้วยการ ใส่สไตล์ความเป็นวินเทจเข้าไป มันทำให้คนที่เอียนกับป็อบสมัยใหม่ที่เจือไปด้วยอิเล็กโทร(รวมถึงผมด้วย) หันมาสนใจเพลงนี้ไปโดยปริยาย เพราะเราต่างโหยหาความเก่าแทบทั้งสิ้น คารี่ย์ทำได้ดีมากๆครับกับเพลงนี้ ป็อปช้าๆเนิบๆ เนื้อหาบ่งบอกถึงความรักบริสุทธิ์ที่รักแบบเป็นเพื่อนที่ดีของเธอก็ได้ มันเลยทำให้มีมนต์เสน่ห์ไปในตัว นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงยอมให้เพลงนี้ติดอยู่ในท็อบเท็น

6. All Day - Kanye West Ft. Theophilus London , Allan Kingdom & Paul McCartney





ถึงผมจะไม่ประทับใจกับวีรกรรมของ Kanye บนเวทีแกรมมี่อวอร์ดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่สำหรับผลงานเพลงของเย่ ผมยังให้ความสนใจอยู่เสมอ ซิงเกิ้ลล่าสุดอย่าง All Day ถือเป็นเพลงที่มี instrument ที่เจ๋งมากๆเพลงนึง มีการผสมผสานกอสเปล ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ฟัง ส่วนแขกรับเชิญที่มาแจมก็ช่วยซัพพอร์ตเย่ได้เป้นอย่างดี แต่สำหรับป๋าพอลนั้นดูตลกไปนิดนึง แต่ก็เอาเหอะ ดนตรีมันเจ๋ง ฟังมันส์ ให้ติดท็อบเท็นอยู่แล้วไม่ซีเรียส


5. No Sleeep - Janet Jackson Ft. J.Cole






การกลับมาของเจเน็ต แจ๊คสัน ครั้งนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ซิงเกิ้ลแรกเพลงนี้มีดีตรงที่จังหวะเพลงช้าๆให้ความเป็น Night Vibe ดนตรีไม่หนวกหู บีทกำลังดี เสียงร้องของเจ๊ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ได้อยู่มัด เนื้อหาไม่สองแง่สองง่าม เหมาะกับการฟังกลางคืนเป็นอย่างยิ่ง สมศักดิ์ศรีจริงๆ ติดท็อป 5 แบบไม่ต้องคิดมาก

4. Alright - Kendrick Lamar







เพลงที่สองของเคนดริกที่ติดชาร์ตของข้าพเจ้า จะว่าไปแล้วเพลงนี้ถือเป็น First Impression ในระดับที่ เฮ้ย น่าตัดเป็นซิงเกิ้ลว่ะ ดนตรีฟังลื่นมากๆ แร็พผสมนีโอ-โซลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเฮียฟาเรล ชอบตรงเนื้อหาด้วยที่ให้กำลังใจ ใช้ชีวิตแบบคิดบวกอยู่ภายใต้โลกอันแสนโหดร้าย ถ้าใครอยากจะเปิดใจฟังเคนดริก เพลงนี้ก็ถือเป็นทางเลือกนึงที่ดีเลยล่ะ

3. Them Changes - Thundercat



ข้าพเจ้าเพิ่งรู้จัก Thundercat จากเพลง Wesley's Theory ของเคนดริกเนี่ยแหละ พอได้ฟังเพลงนี้ เฮ้ยกรูฟเพลงนี้แปลกใหม่มากๆ ฟิวชั่นแจ๊สล้ำๆ เท่ๆ บีทอ้วนๆ โดนสุดๆ เอ็มวีถ้าดูดีๆมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามากๆ มันคงเจ็บปวดมากๆ ที่เราอยากจะทำอะไรซักอย่าง อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเสกให้เรากลายเป็นคนทุพพลภาพ พิการ ไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป อื้อหืออย่าให้เจอชีวิตแบบนี้เลย


2. Can't Feel My Face - The Weeknd




พี่เอเบลหนีสายดาร์กซักพักมาจับมือร่วมกับ Max Martin โปรดิวเซอร์สายป็อบจ๋า ผลลัพธ์ที่ได้เกินคาด ป็อบสไตล์ฟังก์ จังหวะโดดเด่น ยิ่งได้พี่เอเบลซึ่งเปรียบเสมือนเงาเสียง MJ ด้วยแล้ว ยิ่งฟังยิ่งทำให้นึกถึงไมเคิลทุกที นานๆครั้งที่ผมจะได้เห็นเอเบลในมุมมองที่มีความเป็น positive ด่าหญิงน้อยลง เป็นไปได้ว่าพี่เอเบลสามารถซื้อใจแฟนเพลงใหม่ๆได้เพียบเพราะเพลงนี้แหละ โดนใจทั้งแฟนเพลงใหม่และสาวกเดนตายแบบนี้ เอาไปเลยรองแชมป์

และอันดับ 1 ก็คือ


v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v

1. Lean On - Major Lazer & DJ Shake Ft. MO







มาถึงอันดับที่ 1 แล้วครับท่าน ที่สุดประจำครึ่งปีนี้ขอมอบให้กับเพลงนี้เลย เป็นอีดีเอ็มที่ซาวน์ดไม่โหล ไมมีการตบกลองสแนร์ก่อนขึ้นท่อนฮุกตามสูตรสำเร็จของเพลงอีดีเอ็มตลาดทั่วๆไป ใช้ปี่ใส่ความเป็นภาระตะเข้าไปทำให้เพลงติดหูโคตรๆ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนเอ็มวีก็จัดเต็ม ยกกองไปถ่ายทำถึงอินเดีย งดงามมีวิจิตรศิลป์มากๆ เป็นเอ็มวีที่ข้าพเจ้าถูกใจที่สุดประจำครึ่งปีนี้เลยล่ะครับ ยิ่งได้อ่านเนื้อหาของเพลง ยิ่งอินเลิฟเลยล่ะ ถึงตัวเพลงค่อนข้างหวือหวา มันไม่ใช่เพลงที่ว่าด้วยเรื่องสองแง่สองง่าม ชวนไปมีเซกส์หลังแดนซ์จบ  แต่มันคอยย้ำเตือนชาวโลกต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน โอโห้เพลงโดนเนื้อหาโดน เอาไปเลยที่ 1 ประจำครึ่งปีนี้




                                                                    

เป็นไงกันบ้างสำหรับเพลย์ลิสที่จัดมาให้หวังว่าจะถูกใจผู้อ่านผู้ฟังนะครัช