วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

[รีวิวอัลบั้ม] King Push : Darkest Before Dawn (The Prelude) - Pusha T

ก่อนรุ่งสาง



Terrence Thornton แร็พเปอร์ม้ามืดแห่งนิวยอร์คซิตี้ที่รู้จักกันในนามของ Pusha T แร็พเปอร์เด็กปั้นของ Kanye West แห่งสำนัก G.O.O.D Music (ซึ่งเฮียพุชเป็นประธานค่ายคนล่าสุดไปแล้วเรียบร้อย) กลับมาอีกครั้งในสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 ที่มีชื่อว่า King Push : Darkest Before Dawn (The Prelude) โปรเจคต์เรียกน้ำย่อยก่อนเข้าสู่โปรเจคต์ใหญ่สตูดิโอชุดที่ 3 ในนาม King Push ที่จะรีลิสภายในปี 2016 นี้ ถึงแม้ว่าเฮียพุชเป็นแร็พเปอร์ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก แต่เฮียพุชเป็นแร็พเปอร์ที่น่าจับตามอง ไม่ควรมองข้ามเลยล่ะไม่เพียงแต่เป็นเด็กปั้นที่ขึ้นตรงต่อคานเยเพียงอย่างเดียว แต่ผลงานเพลงในอัลบั้มชุดที่ผ่านมาอย่าง My Name Is My Name มีอะไรที่แปลกใหม่และแตกต่างกับแร็พเปอร์เจ้าอื่นพอสมควร ดูได้จากซิงเกิ้ลจากอัลบั้มไม่ว่าจะเป็น Numbers On The Board , Sweet Serenade , Hold On , Suicide และ Nosetalgia จะเห็นได้ว่าเพลงของเฮียพุชมีลูกเล่นซ่อนอยู่มากมาย ไม่ได้มีดีแค่บีทเพียงอย่างเดียว การเล่นคำในเพลงก็ไม่ธรรมดาจริงๆ มีกึ๋นมากพอสมควร ความแปลกใหม่ของงานเพลงเนี่ยแหละที่ทำให้แฟนเพลงฮิพฮอพอย่างเราจับตามองอัลบั้มชุดต่อไปของเฮียพุชว่า จะมีอะไรเด็ดๆซ่อนอยู่ให้ผู้ฟังได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนอัลบั้มชุดที่แล้วอีกหรือไม่ 




แผนโปรโมทอัลบั้มชุดนี้ก็ไม่ธรรมดา มีการทำหนังสั้นความยาว 22 นาทีด้วย โดยหนังสั้นดังกล่าวมีชื่อเดียวกันกับอัลบั้ม มีตัวอย่างเพลงจากอัลบั้มมาให้ฟังกันเนืองๆ เนื้อหาประมาณว่าเฮียพุชกับเพื่อนสนิทอีกคนนึงเป็นพ่อค้าผงขาว (เฮียพุชชอบเอามาพูดถึงบ่อยในเพลง) ไปตกลงทำการค้ากับเจ้าพ่อรายนึงซึ่งเป็นตัวโกงในเรื่องนี้ ค้าไปค้ามาจนทั้งคู่ได้ดิบได้ดี แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าพ่อกลับอิจฉา จึงสั่งฆ่าเพื่อนสนิทของเฮียพุช เฮียพุชคิดจะแก้แค้น บุกไปฆ่าในโบสถ์ แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำ เหมือนคิดได้อะไรบางอย่าง ดูแล้วก็แอบงงนิดนึง ในความเข้าใจของผมคิดว่าเฮียพุชกำลังต่อสู้กับด้านมืดของตัวเองอยู่ พอจัดการกับด้านมืดของตัวเองได้ เหมือนมีชัยชนะ เป็น King อยู่เหนือด้านมืดทั้งหลายทั้งปวงได้ 


อัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด 10 แทร็ค ดูเหมือนน้อย แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ เรายังคงได้เห็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจจากอัลบั้มชุดนี้อีกเช่นเคย โปรดิวซ์เซอร์หลักยังคงเป็น Kanye West , Timbaland และ Puff Diddy โทนเพลงดาร์กเกือบทั้งอัลบั้ม และยังฟังยากอีกเช่นเคย เริ่มจาก Intro เปิดอัลบั้มชุดนี้มาแบบฮึกเหิมเป็นการประกาศศักดาไปในตัว บีททรงพลัง ฟังแล้วขนลุก เปิดสั้นๆแต่แหล่มมากๆ อินโทรอัลบั้มยังมาพร้อมคำถามสบประหม่าสุดคลาสสิค ที่ตามหลอกหลอนเฮียพุชช่าตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นดูโอ้กรุ๊ปวง Clipse ที่ทำร่วมกับพี่ชาย เอ็งอยากเป็นอะไรกันแน่ คนค้ายา ปีศาจ หรือแร็พเปอร์ ว่าแต่เอ็งจะรักษา culture ได้จริงรึ สุดท้ายก็ชัดเจนครับ เลือกที่จะแร็พเปอร์ดีกว่า




ต่อด้วย Untouchable ซิงเกิ้ลแรกประจำอัลบั้มชุดนี้ ได้ Timbaland มาโปรดิวซ์ให้ เมโลดี้บิดเบี้ยว จังหวะชวนโยก แปะด้วยแซมเปิ้ลเพลง Think Big ของ Biggie Small แร็พเปอร์ในตำนานผู้ล่วงลับ ไอดอลคนโปรดของเฮียพุช โจมตีค่าย Cash Money พร้อมจิกกัดพวกอวดรวยเพื่ออยากดังมีหน้ามีตาในสังคม ในเพลง M.F.T.R ซึ่งย่อมาจาก More Famous Than Rich เพลงนี้ถือเป็นแทร็คเด่นประจำอัลบั้มชุดนี้ บีทกับการแร็พไหลลื่นมากๆครับได้ The Dream นักร้องค่ายเดียวกันมาร่วมร้องท่อนฮุกแจม 






Crutches Crosses Casket (All I See Victim) บีทออกแนวฉวัดเฉวียน แปลกๆ เพลงนี้ก็เด็ดเรื่องการเล่นคำและ punchline  จิกกัดวงการเพลงในปัจจุบันที่ศิลปินหลายคนๆกลายเป็นเหยื่อของอุตสาหกรรมงานเพลงอย่างหนีไม่พ้น แต่เฮียพุชกลับมั่นใจ ไม่ตกเป็นทาสอย่างแน่นอน 


M.P.A อันย่อมาจาก Money Pussy Alcohol เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมตั้ง expectation ไว้สูงมากๆ แขกรับเชิญแม่งระดับซุปตาร์ มีทั้ง Kanye West (ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์เพลงนี้ด้วย) A$AP Rocky และ The Dream แถมได้ J.Cole มาโปรดิวซ์เสริมทัพคานเยอีกต่างหาก ฟังครั้งแรกผมเองก็แอบผิดหวังนะ คิดว่า เพลงยาว 5 นาทีกว่าอย่างน้อยแขกรับเชิญน่าจะได้แร็พกันคนละท่อน ที่ไหนได้แต่ละคนร้องกันแค่ไม่กี่ท่อนเอง ปล่อยให้เฮียพุชของเราแร็พสามท่อนรวด ที่เหลือมาแย่งร้องตรงท่อนฮุก ฟังครั้งแรกแอบแปลกใจว่าเพลงแม่งจบแล้วหรอว่ะ คนอื่นแม่งยังไม่ได้แร็พห่าไรเลย ดนตรีก็ออกแนวเนิบๆช้าๆ เฮียพุชใช้แขกรับเชิญได้ไม่คุ้มค่าไรเลย แต่ผมเองก็ต้องลองฟังหลายรอบดูครับ ค้นพบข้อดีบางอย่างของเพลงนี้ จุดแข็งของเพลงนี้คือ เจ้าของเพลงต่างหากครับที่คุมเพลงได้อยู่มัดทั้งเพลง โดยไม่ต้องอาศัยแขกรับเชิญมาแร็พแย่งซีนกัน ปล่อยให้ไหลคนเดียว มีการเปลี่ยนโทนในท่อนสามให้ดาร์กขึ้น การแร็พก็เกรี้ยวกราดตาม  ถึงเพลงจะค่อนข้างเนิบนาบ แต่พอฟังหลายครั้งกลับติดใจอย่างแปลกประหลาด มันเป็นเพลงที่เบรคของหนักจาก 4 เพลงที่แล้วได้ดีทีเดียว จะว่าไปแล้วเพลงนี้แลดูซอฟต์ก็จริง แต่เนื้อหาก็แอบประชดประชันอยู่ไม่น้อย ประมาณว่า ไอ้เงิน จิมิ๊ แอลกอฮอลล์ เนี่ยแหละมันจะมอมเมาชีวิตมึงอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ เป็นเพลงที่ใช้แขกไม่คุ้ม แต่ก็ยอมรับได้ ด้วยเหตุผลที่มาจากความสามารถของเจ้าของเพลงล้วนๆ




Got'Em Covered บีทโดดเด้ง ทำให้นึกถึงเพลง Numbers On The Board จากอัลบั้มชุดที่แล้ว ได้ Ab-Liva แร็พเปอร์เพื่อนสนิทมาร่วมแจม เนื้อหายังว่าด้วยเรื่องค้าผงขาว เข้าสู่โหมดดาร์กในเพลงต่อไปอย่าง Keep Dealing ได้ Beanie Sigel มาร่วมแจม Puff Diddy อำนวยการโปรดิวซ์ บีทเคล้าคลอด้วยเปียโนหลอนๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเพลงนี้มีความคล้ายคลึงกับ Who Shot Ya ของ Biggie Small เพราะมาจากโปรดิวซ์เซอร์เจ้าเดียวกันนั่นเอง Retribution ดูเหมือนเพลงนี้จะเป็นแร็พที่ป็อบจ๋าที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ได้แร็พเปอร์สาวหน้าใหม่มาแรงอย่าง Kelahni มาร้องท่อนฮุกแจม ท่อนฮุกติดหูทำเอาขนลุกอยู่ไม่น้อย


FIFA เป็นเพลงที่มันส์และติดหูครั้งแรกที่ได้ฟัง ชอบจังหวะกลอง คึกคักสมเป็นเพลงแข่งบอล แต่ดูจากเนื้อหาเพลงแล้วไม่น่าจะใช้ประกอบพิธีได้ เพราะลิ้งก์ไปเรื่องธุรกิจค้ายาไปเรื่อย เพลงนี้มีแร็พเปอร์แห่ง A Tribe Call Quest อย่าง Q-Tip โปรดิวซ์ให้ด้วย ปิดท้ายด้วย Sunshine แทร็คปิดอัลบั้มที่ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่สาดส่องลงมา หลังจากที่ 9 แทร็คที่ผ่านมาดาร์กซะเหลือเกิน ถึงชื่อเพลงจะออกแนวมองโลกสวย แต่ไม่โลกสวยอย่างที่คิด เพราะเฮียพุชเองซัดประเด็นปัญหาตำรวจเหยียดผิวอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาสุดคลาสสิคของชาวผิวสีในสังคมมะกัน ได้นักร้องอาร์แอนด์บีในตำนาน Jill Scott มาร้องท่อนฮุกแจมด้วย ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ให้ผู้ฟังได้ขบคิดกันต่อไปด้วย เจ๋งดี


ฟังจนจบอัลบั้มแล้ว 10 แทร็คที่ยาวนานแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น กลับรู้สึกว่า อัลบั้มปฐมบท King Push ชุดนี้ ให้ความรู้สึกเต็มอิ่ม ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เอียพุชสามารถพาผู้ฟังได้ตลอดรอดฝั่งทั้งสิบแทร็คแบบไม่สะดุด ถึงจะดาร์กทั้งอัลบั้ม แต่ก็ดาร์กแบบไม่เลี่ยน และไม่ออกแนวยัดเยียดจนเกินไป การแร็พที่ยังคงความดุดัน เกรี้ยวกราด และเล่นคำได้อย่างฉลาด มีพัฒนาการมากขึ้นจากอัลบั้มชุดที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด แค่นี้ก็เป็นการประกาศศักดาของ Kingpin Overload ที่สมศักดิ์ศรีมากพอแล้ว ใครที่ยังไม่เคยฟังผลงานของเฮียพุชมาก่อน เพลงพี่แกอาจจะเก็ตยากนิดนึง เพราะบีทมาแหวกแนวมากๆ ไม่เหมือนเพลงฮิพฮอพอันเดอร์กราวทั่วไป แต่พอฟังไปหลายรอบก็ค้นพบความเจ๋งเอง ความแตกต่างจากชาวบ้านเนี่ยแหละน่าจะเป็นจุดแข็งของอัลบั้มชุดนี้ที่ทำให้ผมพร้อมที่จะรออัลบั้มชุดต่อไป แอบหวั่นอยู่เหมือนกันครับว่า อัลบั้มบิ๊กโปรเจคต์อย่าง King Push จะทำออกมาได้ดีกว่าชุดนี้รึเปล่า เพราะชุดนี้ตั้งมาตรฐานไว้สูงพอสมควร  คำว่า Darkest Before Dawn นั้นดูเหมือนว่า เฮียพุชค่อนข้างจะมั่นใจพอสมควรว่า อัลบั้ม King Push ของเขาจะทำให้วงการฮิพฮอพนั้นรุ่งเรืองอีกครั้ง เนื่องจากอัลบั้มของเฮียแกจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และเป็นอะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน ทีนี้ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า เฮียพุชจะนำแสงสว่างมาสู่วงการฮิพฮอพสมราคาคุยหรือไม่


ต้องติดตามตอนต่อไป



Top Tracks : M.F.T.R , M.P.A , FIFA , Sunshine

Crutches Crosses Casket , Intro , Untouchable

 
Give  8/10


FB >>> https://www.facebook.com/fungpaifungma/





วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

[รีวิวอัลบั้ม] Days Are Gone - Haim

สามพี่น้องสุดสตรองงงงง



Days Are Gone สตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการของวงป็อบร็อคอินดี้สามศรีพี่น้องตั้งชื่อตามวงศ์ตระกูลนามว่า Haim (ไฮม์) อันประกอบไปด้วย Danielle Haim มือกีตาร์ เล่นกลองบ้าง นักร้องนำหลัก เป็นลูกสาวคนกลาง Este Haim มือเบส และร้องนำ พี่สาวคนโต และ Alana Haim มือกลอง คีย์บอร์ดและคอรัส น้องสาวคนสุดท้อง จริงๆแล้วอัลบั้มชุดนี้รีลิสออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วล่ะ แต่ในโอกาสที่สามสาวกำลังจะรีลิสอัลบั้มใหม่ภายในปีนี้ เลยหยิบมารีวิวให้ผู้อ่านได้ย้อนวันวานก่อนที่จะฟังอัลบั้มชุดใหม่ของสามสาวในเร็วๆนี้ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจวงดนตรีหญิงล้วนวงนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะได้รับการแนะนำต่อๆกันจากเพื่อนๆแล้ว อาจเป็นเพราะเกิรล์กรุ๊ปวงนี้เล่นดนตรีเก่งและบุคลิกส่วนตัวที่ออกไปในทางห้าวๆเกรียนๆเนี่ยแหละน่าจะเป็นเหตุผลหลักเลย การที่ผู้หญิงเล่นกีตาร์ไฟฟ้า ตีกลอง หรือเล่นเบสเป็น มันเป็นอะไรที่มีเสน่ห์สุดๆในสายตาผม ไม่ต้องแต่งโป๊ ไม่ต้องเต้นยั่วยวนเพื่อเรียกร้องความสนใจ โชว์ฝีไม้ลายมือทางดนตรีล้วนๆ โชว์ทักษะการแต่งเพลง นี่สิคือนักร้องหญิงที่ผมต้องการและสมควรได้รับการชื่นชม มีหน้ามีตาในวงการเพลง มีเสน่ห์และน่าค้นหาอย่างแท้จริง 

จากการที่ผมได้นั่งฟัง Days Are Gone มาเป็นเวลานานพอสมควร งานเพลงชุดนี้ไม่กระจอกอย่างที่คิด พวกเธอไม่ได้มาเล่นๆ โชว์สกิลเต็มที่ ฝีไม้ลายมือทางดนตรีไม่แพ้ร็อคแบนด์ชายล้วนเลยล่ะ และที่สำคัญสามสาวทำเพลงเองด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ ดนตรีค่อนข้างมีชั้นเชิง ฟังยากบ้างง่ายบ้าง  เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงความรักที่ไปได้ไม่สวย เลิกราเพื่อไปตามทางของตัวเอง 


เริ่มตั้งแต่ Falling แค่เพลงแรกพวกเธอก็โชว์ของแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของไฮม์ได้แล้ว มีความเป็นป็อบผสมอาร์แอนด์บี เพิ่มความแปลกใหม่และน่าจดจำด้วยเสียงเอคโค่ เพิ่มความแข็งแรงให้กับคอรัส  ถึงแม้ว่าชื่อจะดูเหมือนฉุดพวกเธอลงที่ต่ำ แต่ไม่เลย พวกเธอกำลังประกาศกร้าวแสดงจุดยืนในวงการเพลง ดั่งท่อนฮุกที่ว่า Don’t stop, no, I’ll never give up And I’ll never look back, just hold your head up จะเห็นได้ว่าพวกเธอไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่จมอยู่กับความเศร้าในอดีต พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานเพลงของพวกเธอ ทำตามฝันต่อไป จุดยืนชัดเจนตั้งแต่เพลงแรก  เอ็มวีออกแนวชิคๆเกรียนๆไม่จริงจังเหมือนในเนื้อหาเอาเสียเลย 5555



เพิ่มความคึกคักด้วย Forever ป็อบร็อคสไตล์ยุค '80 เล่นลูกเล่นเบสไลน์ได้แพรวพราวมากๆ บีทติดหู ไหลลื่นสุดๆ ส่วนในเอ็มวีสาวๆก็โชว์ความเป็นเฮฟวี่สุดๆด้วยการขี่มอไซค์โชว์ สวมแจ็คเก็ตยีนส์ เต้นโชว์เกรียนนิดๆ ส่วนเนื้อหาก็เป็นการบอกลาความสัมพันธ์กับคนรักที่ท่าทางจะไปไม่สวยแน่ๆในอนาคต


ถึงแม้ว่าแทร็คที่แล้ว สาวๆจะโดนผู้ชายร้ายๆหักอก เป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด คราวนี้เธอขอเป็นผู้ร้ายหักอกหนุ่มๆบ้าง เข้าตำราคนสวยใจร้ายในเพลง The Wire มาแบบเข้มๆขรึมๆแฝงความแมน เนื้อหาก็แมนตาม เธอกล้าที่จะบอกปฏิเสธชายหนุ่มที่ไม่ใช่สำหรับเธอแบบแมนๆ แต่สิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไปนั้นใช่ว่าเธอจะรู้สึกดีหรือทำเพื่อความสะใจหรอกนะ เธอก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ต้องหักอกผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอ  เพียงแต่ไม่อยากจะเสแสร้งไปมากกว่านี้ 

ในเพลงนี้เธอก็ฝากบทเรียนให้กับหนุ่มๆทั้งหลายด้วยว่า Always keep your heart locked tight Don't let your mind retire แปลเป็นไทยว่า อย่าหลงรักใครง่ายๆนั่นเอง เพราะผลที่ตามมาอาจจะทรมานได้โดยไม่รู้ตัว เป็นเพลงที่แฝงความแสบไปในตัว



หักอกหนุ่มๆมาแล้ว มาต่อด้วย If I Could Change Your Mind เนื้อหาแอบเฮิร์ทนิดนึง ถ้าชั้นเปลี่ยนใจเธอได้ ป่านนี้เธอเป็นของชั้นไปนานแล้ว เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่ฟังง่ายที่สุดในอัลบั้มชุดนี้นะ ป็อบติดหูดีครับ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องชอบเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง

Honey & I น่าจะเป็นเพลงบอกรักเพียงแค่เพลงเดียวเท่านั้นในอัลบั้มชุดนี้ มาในจังหวะช้าๆเนิบๆฟังสบายๆ ถึงแม้ว่าเธอเข็ดกับความรักในอดีตที่ผ่านมา แต่เธอก็เริ่มมีความมั่นใจกับความรักครั้งใหม่มากขึ้น ประสบการณ์สุดเฮิร์ทที่ผ่านมาในอดีตอาจทำให้เธอเป็นคนสตรองขึ้นก็เป็นไปได้ ชั้นไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นเพลงบอกรักที่แมนมากๆ ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป



ตัดกลับมาที่เพลงเฮิร์ตๆ Don't Save Me เพลงนี้จังหวะเบสเท่มากๆ ยกความดีความชอบให้กับ Este อีกแล้ว ดูเหมือนเพลงนี้สาวๆจะเจอปัญหารักเขาข้างเดียวซะแล้ว ถ้าความรักของเธอไม่แข็งแกร่งพอ อย่ามาทำเป็นบอดี้การ์ดคอยปกป้องชั้น อย่ามาแคร์ชั้นเลย 

มาถึงเพลงที่เป็น topic หลักประจำอัลบั้มอย่าง Days Are Gone  Este ขอโชว์ร้องเต็มเพลงบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้แดเนียลมีบทบาทหลักในการร้องอยู่ตั้งหลายเพลง เสียงของเธอแลดูซอฟต์กว่าแดเนียลซะอีก ทั้งๆที่เธอตัวสูงใหญ่น่าจะมีเสียงห้าวๆ กลับกลายเป็นว่าเสียงของแดเนียลดูแมนกว่า แต่ผมไม่ได้หมายความว่าเสียงของสาว Este จะดูไม่ดีหรอกนะฮับ เสียงร้องของเธอดูดีเหมือนกัน เพียงแต่เปรียบเทียบเฉยๆ จะว่าไปแล้วไตเติ้ลแทร็คเพลงนี้เป็นหัวใจหลักสำคัญในการบอกลาความรักแย่ๆที่เธอมักจะเป็นคนฝ่ายให้เขาข้างเดียวอยู่ตลอดๆ ทิ้งอดีตไปซะ เดินหน้าทำสิ่งที่ควรทำต่อไป 

You can have my past, I'll never get that back I'm moving on, cause those days are gone เป็นประโยคที่ผมชอบมากที่สุดในเพลงนี้ เพราะผมก็เจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ผมเลยอินกับประโยคนี้เป็นพิเศษ ฮ่าฮ่าฮ่า



My Song 5 เพลงนี้โคตรพ่อโคตรแม่ชอบเลยล่ะครับ เป็นเพลงที่โชว์สกิลความเป็นร็อคได้โหดมากๆ โหดที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ หลังจากที่สามสาวเสิร์ฟเมนูซอฟต์ๆมาตลอดหลายเพลง เพลงนี้เธอขอใส่ความหนักหน่วงลงไปในเพลงบ้าง ซาวนด์กีตาร์เท่ห์ได้ใจ ถึงแม้ว่าแดเนียลร้องผ่านเครื่องออโต้จูน แต่ก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ใช้แบบมั่วซั่ว เหมาะเหม็งกับเพลงที่มีบรรยากาศค่อนข้างอึมครึมแบบนี้ จะว่าไปแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ตอกกลับชายชู้ได้แสบสุดๆ จังหวะเพลงเลยดุตาม เธอคิดว่าชั้นไม่รู้หรอว่าเธอกำลังคบซ้อนใครอยู่ ต่อไปนี้ชั้นก็จะตอบแทนเธอด้วยการ ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่สิ่งที่เธอจะไม่ได้รับแน่นอนคือ คำพูดหวานๆและความรักของชั้นอีกต่อไป ต่อไปนี้ชั้นเป็นอิสระ ไม่เป็นแม่พายน้ำผึ้งอีกต่อไป แสบปะล่ะ เพลงนี้ได้รับกระแสตอบรับดี จนต้องทำเวอร์ชั่นรีมิกซ์ ได้ A$AP Ferg มาร่วมฟีท


มาเฮิร์ทกันต่อด้วยเพลง Go Slow เพลงจังหวะช้าๆ เบรคของหนักจากแทร็คที่แล้ว ออกแนวยื้อคนรักเก่าที่ลืมไม่ลงซักที พยายามจะลืม แต่มันก็ยากจริงๆ รักแล้วลืมยากว่าง่ายๆ สองแทร็คสุดท้ายอย่าง Let Me Go และ  Running If You Call My Name เป็นการตอกย้ำประโยค Days Are Gone ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

เพลงแรกเริ่มเพลงมาแบบเงียบๆแล้วมาตะโกน Let Me Go ให้คนฟังได้ขนลุกกันเล่นๆในท่อนฮุก Este รับช่วงต่อในการร้องเคล้าจังหวะกลองของน้องคนเล็ก Alana ที่เพิ่มความเข้มข้นให้เพลงได้เป็นอย่างดี แล้วสร้างไคล์แมกซ์เป็นการปิดท้ายด้วยซาวน์ดกีตาร์ เบส และกลอง จากสามประสานพี่น้องลากยาวจนจบเพลง เป็นอีกหนึ่งเพลงเด่นที่เจ๋งในสร้างไคล์แมกซ์ได้ถูกที่ถูกเวลา ส่วนเพลงสุดท้ายแลดูซอฟต์กว่าเพลงที่แล้ว เป็นการหนีออกจากความรักแย่ๆ เพื่อไปเจอสิ่งที่ดีกว่า สองเพลงที่แล้วดูเหมือนจะยังตัดใจไม่ลง แต่เพลงสุดท้ายนี้น่าจะบ่งบอกได้แล้วว่า ชั้นหลุดพ้นพันธนาการจากความรักแย่ๆได้แล้ว ไม่อาลัยอาวรณ์อีกต่อไป คอรัสในเพลงนี้เด่นสุดๆ เป็นแทร็คปิดที่ประทับใจอยู่ไม่น้อย อินดี้สุดๆจ้า

มาพูดถึงเพลงแถมในเวอร์ชั่น Deluxe บ้าง เริ่มตั้งแต่ Send Me Down 
อิเล็กโทรนิกส์ป็อบนิดๆผิดวิสัยแทร็คหลักพอสมควร ส่วนเพลง Edge เป็นเพลงแถมที่ผมชอบมากที่สุด ฟังครั้งแรกอาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าเพราะ แต่ฟังไปหลายๆรอบก็เริ่มรู้สึกชอบเลยล่ะ 



Days Are Gone ผลงานชุดแรกของสามสาวเปิดตัวได้สวยมากๆครับ ในแง่ของดนตรีและเนื้อหาที่ล้อคอนเซปต์ของอัลบั้มได้เป็นอย่างดี มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน แค่เสียงร้องของแดเนียลก็พอจะเป็นซิกเนเจอร์ของวงนี้ได้แล้ว

ชอบตรงที่ .... ลูกเล่นดนตรีค่อนข้างแพรวพราว  การฝึกซ้อมที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กและความสามัคคีของสามสาวน่าจะเป็นอาวุธชั้นดีของวงนี้ อาจเป็นเพราะทั้งสามสาวรู้ใจซึ่งกันและกันด้วย เลยทำให้ภาคดนตรีไม่ว่าจะเป็นภาคการร้อง กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด และกลองมีการสอดประสานกันได้อย่างลงตัว ไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ดูไม่มั่ว ไม่มีเพลงไหนที่ผมกดข้ามหรือเกลียดเลย ครั้งแรกๆอาจฟังยากหน่อย เพราะเพลงมันไม่ใช่ป็อบเมนสตรีมธรรมดาๆ มันมีความเป็นอินดี้ผสมด้วย คนฟังอาจไม่คุ้นชิน แต่พอได้ฟังหลายรอบ เป็นอัลบั้มที่ฟังได้ในระยะยาวจริงๆ และไม่เป็นการฟังฉาบฉวยแต่อย่างใด

ชอบตรงที่ .... ชัดเจนในคอนเซปต์ การเรียงลำดับแทร็คในอัลบั้มชุดนี้มันช่างสอดคล้องกับความรู้สึกของมนุษย์ซะเหลือเกิน (ฟังดูเวอร์แต่ก็จริงนะ) เหมือนสามสาวเข้าใจคนที่เพิ่งอกหักมาใหม่ๆ ที่ตอนแรกๆมักจะเจอกับเรื่องร้ายๆไม่ว่าจะเป็น โดนบอกปัดความสัมพันธ์บ้าง โดนปฏิเสธรัก รักเขาข้างเดียวอยู่นั่นแหละ ซ้ำร้ายกว่านั้นดันไปรู้ว่าเขาคนนั้นกำลังโกหกเราอยู่ พอเรารู้ตัวว่าเขาไม่รักตอบ หรือไปเป็นชู้กับคนอื่น ความรู้สึกต่างๆก็เริ่มมาโดยอัตโนมัติ เราก็เริ่มจะอาลัยอาวรณ์ อยากให้เขามารักเราบ้าง คิดไปต่างๆนาๆทำไมเขาไม่รักเรา (สอดคล้องกับแทร็คแรกๆในอัลบั้มชุดนี้) เมื่อเวลาผ่านไปเราก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าฝืนใจไปเหนื่อยเปล่า ตัดใจเสียดีกว่า กว่าเราจะตัดใจลืมเขาได้ ก็ยากซะเหลือเกิน สุดท้ายเวลาก็เยียวยาเราได้อยู่ดี แทนที่จะอาลัยอาวรณ์จมอยู่กับเรื่องเศร้า เดินออกจากความรักแย่ๆเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดั่งสองแทร็คสุดท้ายในแสตนดาร์ดเวอร์ชั่นที่ผมได้พูดถึงไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้คำว่า Days Are Gone ชัดเจนซึมในสมองของผู้ฟัง Days Are Gone ในที่นี้คือวันวานความรักที่หอมหวานในอดีตจะไม่หวนกลับมาอีกแล้วนั่นเอง

ชอบตรงที่ .... เพลงเข้าถึงคนฟังได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าเนื้อเพลงจะออกไปในทางซีเรียส ค่อนข้างขมขื่น แต่สามสาวก็สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างสนุกสนานและน่าติดตามตั้งแต่แทร็คแรกจนถึงแทร็คสุดท้าย ฟังแล้วให้ความรู้สึกไม่อมทุกข์อมเศร้าจนเกินไป ถูกใจทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวอย่างแน่นอน บรรยายสรรพคุณมามากพอแล้ว คงต้องอุทานว่า

จะไม่ให้รักสามสาวได้ยังไงล่ะ


Top Track : My Song 5 , Let Me Go , Days Are Gone , Falling , If I Could Change Your Mind , Don't Save Me , Running If You Call My Name 


Give 8.5/10

Recommend !!!!!!