วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

50 Best Songs Of 2015 (จัดอันดับเล่นๆ แต่กล้าแนะนำ)

50 Best Songs Of 2015 

(จัดอันดับเล่นๆ แต่กล้าแนะนำ)


ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย 50 สุดยอดเพลงสากลแห่งปี 2015 ที่เพจฟังไปฟังมาของเราตั้งใจคัดสรรมาอย่างดี อาจมีเพลงที่ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อ่านครับ ไม่จำเป็นต้องชอบตามนี้ก็ได้ เพราะมันเป็นทัศนคติส่วนตัวของผู้เขียน แต่เพลงเหล่านี้มีคุณภาพอย่างแน่นอน อยากแนะนำให้ฟังกันถ้วนหน้า


50.Zero-Chris Brown


49.Classic Man-Jidenna Ft. Kendrick Lamar


48.Take Me Home - Jess Glynne


47.Freedom-Pharrell Williams


46.Smuckers - Tyler The Creator Ft. Kanye West & Lil Wayne


45.Baby Blue-Action Bronson Ft.Chance The Rapper


44.I Bet - Ciara


43.Everglow-Coldplay


42.Back To Back - Drake


41.100 Grandkid-Mac Miller


40.Your Type-Carly Rae Jepsen


39.100-The Game Ft.Drake


38.Sunday Candy - The Social Experiment & Donnie Trumpet Ft. Jamila Woods


37.Check - Young Thug


36.FourFiveSeconds - Rihanna Ft. Kanye West , Paul McCartney


35.These Walls - Kendrick Lamar Ft. Anna Wise , Thundercat & Bilal


34.Paper Trail$-Joey Bada$$


33.Magnets-Disclosure Ft.Lorde


32.Love Yourself-Justin Bieber


31.Genocide-Dr.Dre Ft.Kendrick Lamar &Marsha Ambrosius & Candice Pillay)


30.Wavybones-A$AP Rocky ft. Juicy J & MGK


29.I Serve The Base - Future


28.No Sleeep-Janet Jackson Ft.J.Cole


27.One Man Can Change The World - Big Sean Ft.Kanye West & John Legend


26.Sorry-Justin Bieber


25.Yes, I'm Changing  - Tame Impala


24.waves-Miguel


23.When We Were Young-Adele


22.Leave A Trace-CHVRCHES


21.Everyday - A$AP Rocky Ft. Miguel & Rob Stewart


20.Border-M.I.A.


19.Eventually -Tame Impala


18.All My Friends-Snakehips ft.Tinashe , Chance The Rapper


17.WTF-Missy Elliot Ft.Pharrell Williams


16.Vice City-Jay Rock Ft. Black Hippy


15.The Hills - The Weeknd


14.Antidote-Travis $cott


13.Where Are U Now-Jack U Ft. Justin Bieber


12.All That - Carly Rae Jepsen


11.I KNOW THERE'S GONNA BE (GOOD TIMES) - Jamie XX Ft.Young Thug & Popcaan


10.Know Yourself - Drake


เริ่มต้นท็อบเท็นด้วย แทร็คที่โดดเด่นที่สุดในอัลบั้มสุดฮิต If You're Reading This,It's Too Late เดรกแร็พเพลงนี้ได้เฉียบคมมากๆครับ โดยเฉพาะท่อนที่ 2 ของเพลง โชว์สกิลแร็พได้เท่มากๆ เพลงนี้ทำให้เราได้รู้จักเมืองโตรอนโต้บ้านเกิดของเดรก และมันทำให้เดรกได้ฉายาใหม่ 6God เป็นฉายาประดับยศไปโดยปริยาย


9.Them Changes - Thundercat



กรูฟเพลงนี้แปลกใหม่มากๆ ฟิวชั่นแจ๊สล้ำๆ เท่ๆ บีทอ้วนๆ โดนสุดๆ เอ็มวีถ้าดูดีๆมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามากๆ มันคงเจ็บปวดมากๆ ที่เราอยากจะทำอะไรซักอย่าง อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเสกให้เรากลายเป็นคนทุพพลภาพ พิการ ไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป อื้อหืออย่าให้เจอชีวิตแบบนี้เลย


8.Here -Alessia Cara



เพลงนี้น่าจะถูกใจคนเก็บเนื้อเก็บตัว หรือคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครอย่างแรง เพราะผู้เขียนก็เป็นคนที่มีนิสัยแบบนั้นเหมือนกัน โทนเพลงหม่นๆ เสียงของน้องอลิเซียหวยโหนเป็นเอกลักษณ์ แอบแร็พนิดนึง เสียงร้องของเธอช่างคล้อยตามเพลงได้ดีซะเหลือเกิน ฟังแล้วเหมือนโดนมนต์สะกดโดยไม่รู้ตัว


7.All Day - Kanye West Ft. Theophilus London , Allan Kingdom & Paul McCartney



 ซิงเกิ้ลล่าสุดอย่าง All Day ถือเป็นเพลงที่มี instrument ที่เจ๋งมากๆเพลงนึง มีการผสมผสานกอสเปล ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ฟัง ส่วนแขกรับเชิญที่มาแจมก็ช่วยซัพพอร์ตเย่ได้เป้นอย่างดี แต่สำหรับป๋าพอลนั้นดูตลกไปนิดนึง แต่ก็เอาเหอะ ดนตรีมันเจ๋ง ฟังมันส์ ให้ติดท็อบเท็นอยู่แล้วไม่ซีเรียส 

6.Lean On - Major Lazer & DJ Shake Ft. MO





เป็นอีดีเอ็มที่ซาวน์ดไม่โหล ไมมีการตบกลองสแนร์ก่อนขึ้นท่อนฮุกตามสูตรสำเร็จของเพลงอีดีเอ็มตลาดทั่วๆไป ใช้ปี่ใส่ความเป็นภาระตะเข้าไปทำให้เพลงติดหูโคตรๆ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนเอ็มวีก็จัดเต็ม ยกกองไปถ่ายทำถึงอินเดีย งดงามมีวิจิตรศิลป์มากๆ ถึงตัวเพลงค่อนข้างหวือหวา มันไม่ใช่เพลงที่ว่าด้วยเรื่องสองแง่สองง่าม ชวนไปมีเซกส์หลังแดนซ์จบ เหมือนเพลงอีดีเอ็มทั่วๆไป  แต่มันคอยย้ำเตือนชาวโลกต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่แปลกใจที่น้องมูได้รับเกียรติให้ไปขึ้นโชว์บนเวทีงานประกาศรางวัล Noble Peace


5.All I Ask - Adele




ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับอันดับที่ 5 ประจำลิสต์นี้ เพลงนี้เป็นแทร็คที่เด่นที่สุดในอัลบั้ม 25 ของอเดลแล้วล่ะครับ เสียงร้องอันทรงพลัง บัลลาดเปียโนติดหู บวกกับเนื้อหาโคตรเฮิร์ต อเดลกำลังทำร้ายคนที่กำลังผิดหวังในความรักไปโดยไม่รู้ตัว และที่สำคัญได้ Bruno Mars มาร่วมแต่งเพลงนี้ด้วย ยิ่งปลื้มเข้าไปอีก


4.Hotline Bling-Drake




ปล่อยเพลงเน้นร้องออกมาทีไรก็เปรี้ยงปร้างได้ดิบได้ดีทุกทีสำหรับ Drake ถ้าเทียบกับเพลงเน้นร้องสองเพลงที่แล้วอย่าง Find Your Love และ Hold On We’re Going Home เพลงนี้เป็นเพลงที่ชิวๆดูไม่หวือหวาเท่าสองเพลงนั้น แต่ในความชิวนี้เองก็ยังคงแฝงอารมณ์หนุ่มเหงา โหยหาความรัก เพ้อไปเรื่อยอยู่ดี ฟังครั้งแรกๆอาจจะยังไม่ติดหูเท่าที่ควร เพราะเพลงมันชิวไปเรื่อย แต่ถ้าลองฟังหลายๆรอบก็จะค้นพบว่า เพลงมันฟังได้เรื่อยๆไม่น่าเบื่อจริงๆ ฟังแล้วชอบจนปฏิเสธไม่ได้ ส่วนเอ็มวีไม่ต้องบอกก็รู้
 เคป็อบยังต้องชิดซ้าย


3.Can't Feel My Face - The Weeknd


เพลงอินเลิฟสไตล์ The Weeknd ป็อบสไตล์ฟังก์ จังหวะโดดเด่น ยิ่งได้พี่เอเบลซึ่งเปรียบเสมือนเงาเสียง MJ ด้วยแล้ว ยิ่งฟังยิ่งทำให้นึกถึงไมเคิลทุกที บีทเพลงนี้ติดหูมาก ฟังแล้วโดดเด้ง เอ็นจอยทุกครั้ง เป็นเพลงฟีลกู๊ดในสไตล์พี่สุดสัปดาห์ที่เท่ห์และมีเสน่ห์จริงๆ


2.Let It Happen-Tame Impala



แทร็คแรกจากอัลบั้ม Currents เป็นเพลงไซคลิเดลิกร็อคที่ครบเครื่อง และรวมความหลากหลายไว้ในเพลงเดียว เสียงร้องมีความละเมียดละมัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีดนตรีอิเล็กโทรนิกส์อันล้ำสมัยยิ่งเป็นการตอกย้ำความแปลกใหม่และแตกต่างเข้าไปอีก


1.Alright - Kendrick Lamar


ปีนี้เป็นปีทองของเคนดริกจริงๆ อัลบั้มก็ถูกยกย่องให้เป็น Best Of The Year ผมเชื่อว่าถ้าใครได้ฟัง To Pimp A Butterfly แล้ว คุณต้องมี First Impression เพลงนี้อย่างแน่นอน ดนตรีฟังลื่นมากๆ แร็พผสมนีโอ-โซลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเฮียฟาเรล ชอบตรงเนื้อหาด้วยที่ให้กำลังใจ ใช้ชีวิตแบบคิดบวกอยู่ภายใต้โลกอันแสนโหดร้าย เป็นเพลงที่ฟังสนุกและครบเครื่องจริงๆ หากวันใดที่คุณเครียดหรือเจอเรื่องหนักๆ ให้นึกถึงเพลงนี้ แล้วร้องตะโกนว่า 

" I’m fucked Homie you fucked up But if God got us Then We gon’be alright "

เป็นไงกันบ้างครับ ลิสต์ที่เราจัดให้ อาจจะถูกใจบ้างหรือขัดใจบ้าง อันนี้จัดอันดับตามทัศนคติของผู้เขียนล้วนๆครับ ถ้าไม่ถูกใจยังไงก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ

Happy New Year 2016 


วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] A Head Full Of Dreams - Coldplay

สีสันแห่งความฝัน





วงดนตรีป็อบร็อคแห่งเมืองผู้ดี Coldplay กลับมาอีกครั้งในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 ที่มีชื่อว่า A Head Full Of Dreams เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่นักฟังเพลงอย่างผมรอคอย แน่นอนครับว่าวงดนตรีวงนี้เป็นวงที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีนี่หว่า แถมมีเพลงฮิตหลายเพลงที่ข้าพเจ้าชื่นชอบจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Yellow , Shiver , Fix You , The Scientist , Warning Sign , Viva La Vida , Paradise , Charlie Brown , A Sky Full Of Stars , Magic อื่นๆอีกมากมาย A Head Full Of Dreams ชุดนี้จึงเป็นผลงานเพลงส่งท้ายปีที่น่าจับตามองยิ่งนัก ยังไงก็ต้องลองหาซื้อมาฟังอยู่ดี จะว่าไปแล้วอัลบั้มนี้ทิ้งช่วงจากอัลบั้มที่แล้ว Ghost Stories ประมาณหนึ่งปีครึ่ง  ผิดวิสัยศิลปินวงอื่นๆที่ส่วนใหญ่จะทิ้งช่วงในการทำผลงานชุดใหม่นานถึง 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย  ซึ่งถือว่าเร็วๆมากสำหรับวงดนตรีแนวหน้าของโลก AHFOD มีความแตกต่างจากชุดที่แล้วอย่าง Ghost Stories ที่เพลงส่วนใหญ่ไปในทางหม่นๆขมขื่นเอามากๆ พี่คริสคงช้ำรักลืมเมียเก่าไม่ได้ แต่ผมว่าชุดนี้ค่อนข้างคล้ายกับ Mylo Xyloto อัลบั้มชุดที่ 5 อยู่เหมือนกัน แนวทางคอนเซปต์ออกไปในทางแฟนตาซี เมโลดี้สวยๆ เนื้อหามองโลกในแง่ดี ดนตรีมีสีสัน แต่สิ่งที่ชุดนี้ดนตรีมีความทันสมัยมากกว่า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสดนตรีอิเล็กโทรนิกส์เริ่มมีบทบาทสำคัญในโลกดนตรีมากขึ้น ดนตรีแนว EDM จึงต้องพัฒนาตามเพื่อเพิ่มความล้ำสมัยมากขึ้น นี่แหละครับที่ผมคิดว่า AHFOD จึงมีความทันสมัยมากกว่า Mylo Xyloto นั่นเอง อีกหนึ่งความแตกต่างที่มีสีสันมากกว่าเดิมนั่นก็คือ แขกรับเชิญที่มาร่วมในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็น Beyonce , Tove Lo , Noel Gallagher และ Gwyneth Paltrow เมียเก่ามาร่วมแจมด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นแค่คอรัสแบ็คอัพหรือไม่ก็เสริมภาคดนตรีเฉยๆ ไม่เชิงร้องท่อนใครท่อนมันเหมือนเพลง Princess Of China ที่มี Rihanna มาร่วมแจม

อาร์ตเวิร์คและแพ็คเกจอัลบั้มชุดนี้สวยสดงดงาม Flower Of Life อยู่ตรงกลางแล้วมีครอบด้วยงานศิลปะสื่อถึงความเป็น AHFOD ได้ดีจริงๆ ภายนอกดูสวยงาม ไส้ในงานเพลงจะดีงามตามท้องเรื่องหรือเปล่ามาดูกันเลย


เปิดอัลบั้มด้วยไตเติ้ลแทร็ค A Head Full Of Dreams มาในสไตล์อิเล็กโทรนิกส์ป็อบบ่งบอกทิศทางอัลบั้มได้ชัดเจน  ดนตรีมีความเป็นวาไรตี้ ฟุ้งไปด้วยสีสัน ดูไม่หวือหวาเท่าไหร่นัก แต่ชัดเจนในคอนเซปต์ ต่อด้วย Birds โคลย์เพลย์ยังคงเล่นลูกเล่นรีฟกีตาร์บัลลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโคลเพลย์อีกเช่นเคย และเป็นวงที่ชอบเอา "นก" มาอุปมาอุปมัยในเนื้อเพลงอยู่เรื่อย สงสัยชอบดูนก (เดาเอา) ไม่เกี่ยว ฟังเพลินอยู่แต่จบเพลงค่อนข้างรวบรัดไปหน่อย กำลังได้ฟิลลิ่งอยู่ดีๆก็ตัดไปเพลงต่อไปแบบหน้าตาเฉย 

Hymn For The Weekend เพลงนี้ได้ Beyonce มาร่วมแจมในฐานะ vocal back up หลายๆคนก็คาดหวังเหมือนกันครับว่า เพลงนี้น่าจะมีการดูเอ็ทกัน แบ่งกันร้องโชว์พลังเสียงคนละท่อน แต่ผิดคาด ให้ Diva ตัวแม่มาร้องแบ็คอัพซะงั้น ยังดีครับที่ Tracklist ไม่มีการห้อยฟีทเจอริ่ง เพื่อไม่ให้ผู้ฟังคาดหวังไปมากกว่านี้  เหมือนทางวงพยายามรังสรรค์ด้วยการเอาสไตล์ของป็อบบัลลาดแบบโคลย์เพลย์มาผสมกับสไตล์อาร์แอนด์บีแบบบียอนเซ่ เพลงเลยออกมาแบบแปลกๆ


Everglow ป็อบบัลลาดเปียโนช้าๆ เพลงนี้ทำให้ผมนึกถึง Ghost Stories ขึ้นมาทันที เหมือนพี่คริสเองพยายามตัดใจจากเมียเก่า แต่มันช่างยากเย็นซะเหลือเกิน ยังคงคิดถึงเพียงเธอออออออออออ (เฮ้ย!!! อันนั้นของพี่ตูนเว้ย) โคลเพลย์ยังคงทำเพลงช้าได้ซึ้งกินใจซะเหลือเกิน เพลงนี้ปล่อยออกมาตอนที่ผู้เขียนอกหักพอดี ผมเลยอินเพลงนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าคุณกำลังแฮปปี้กับความรัก ก็สามารถอินเพลงนี้ได้ไม่ยากครับ




มาถึงซิงเกิ้ลแรก Adventure Of  Lifetime เพลงจังหวะสนุกๆ ตอนแรกฟังนึกว่าหมอลำซิ่ง ที่ไหนได้มันคือ World Music ผสมกับ อิเล็กโทรนิกส์ป็อบนั่นเอง ฟังสนุกครื้นเครง

ต่อด้วย Fun เพลงนี้ซิเด็ด ได้นักร้องสาว Tove Lo มาร่วมฟีทด้วย เป็นแขกรับเชิญที่เป็น underrated ในอัลบั้มชุดนี้ ถ้าเทียบกับ Beyonce ที่มีบารมีเหนือกว่าแทบทุกด้าน จังหวะเพลงปานกลาง ขัดกับชื่อเพลงที่จะต้องสนุกสนานเข้าไว้ แต่เพลงนี้จังหวะปานกลางกำลังพอดีครับ ถึงแม้ว่า Tove Lo เป็นแค่แบ็คอัพ แต่เสียงร้องของเธอกลับโดดเด่น ไปด้วยกันได้กับเสียงเฮียคริส เสริมมิติให้เพลงนี้ น่าจดจำมากยิ่งขึ้น สมควรแล้วที่ห้อยชื่อเธอปะหน้าแทร็ค

Kaleidoscope เป็น track ดนตรีบรรเลงสั้นๆ แปะด้วยคลิปเสียงท่านประธานาธิบดี บารัค โอบามา ร้องเพลง Amazing Grace เพลงโฟล์กของชาวคริสเตียน Army Of One เพลงนี้แบ่งเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรกมาแบบอัลเทอเนทีพชัดเจน เล่นลูกเล่นด้วยเสียงเอคโค่ แล้วตัดสลับพาร์ทสองที่มาในแบบดัพเสต็ปเบาๆ ถือเป็นเพลงที่เดาทางได้ยากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง

Amazing Day เพลงนี้ผมโคตรชอบ บัลลาดขึ้นต้นเพลงก็กินขาดแล้วล่ะครับ อินโทรเพลงนี้คล้ายๆกับ Always In My Head  อยู่เหมือนกันนะครับ ฟังแล้วนึกถึง Ghost Stories อีกแล้วครับท่าน แต่เพลงนี้มันไม่หม่น ไม่อึมครึมเท่ากับเพลงนั้นแน่นอน เนื้อหาก็ลึกซึ้งกินใจซะเหลือเกิน เพลงมันไม่ได้พูดถึงความรักเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเพลงเพื่อชีวิตชั้นดีที่พูดถึงการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกๆคนต่างเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายมาทั้งนั้น  แต่เราทุกคนก็ต่างมีวันวานที่ดีๆในอดีต เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนเราว่า โลกใบนี้ยังมีด้านหรือแง่มุมที่สวยงามซ่อนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงมีแต่แง่มุมที่โหดร้ายมากน้อยเพียงใดก็ตาม  เป็นดีงามตามท้องเรื่องจริงๆครับ หลายคนน่าจะประทับใจเพลงนี้ไม่ต่างจากผมอย่างแน่นอน

Up&Up แทร็คปิดท้ายอัลบั้มชุดนี้ แถมเป็นแทร็คที่ยาวที่สุดในชุดนี้อีกด้วย ไหนๆก็เป็นเพลงสุดท้ายแล้วก็ต้องจัดเต็มกันซะหน่อย เพลงมาแบบเปียโนบัลลาดสบายๆ ท่อนฮุคโดดเด่นด้วยคอรัสเด็กๆประสานเสียงกัน ตัวเพลงมีความหลากหลายไปในตัว ไม่มั่วสะเปะสะปะ ทำให้ผู้ฟังอย่างผมเพลิดเพลินจนลืมไปเลยว่า เพลงนี้ยาว 6 นาทีกว่าๆ เนื้อหาเน้นให้กำลังใจ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ที่มาของเพลงนี้ไม่เพียงแต่จะสื่อถึงบทสรุปของอัลบั้มชุดนี้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสื่อถึงการเดินทางบนเส้นทางดนตรีของโคลเพลย์อีกด้วย อาจจะกล่าวเป็นนัยๆว่านี่คงเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของโคลเพลย์จริงๆแล้วครับ จะว่าไปแล้วแทร็คปิดอัลบั้มแทร็คนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมทางความคิดของอัลบั้มชุดนี้เลยก็ว่าได้ เป็นแทร็คปิดที่ทำได้ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีของวงดนตรีแนวหน้าระดับโลกจริงๆครับ


A Head Full Of Dreams สตูดิโออัลบั้มชุดที่เจ็ดชุดนี้ยังคงเส้นคงวาในเรื่องของคุณภาพงานเพลงตามมาตรฐานของโคลย์เพลย์ได้ดีเช่นเคย เป็นงานที่เสพง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ว่าชุดนี้ดนตรีจะเจือปนไปด้วยอิเล็กโทรนิคป็อบเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ทางวงก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของวงซักทีเดียว สังเกตได้จากการนำดนตรีสดมามีส่วนร่วมในเพลงมากกว่าชุดก่อนอย่างแน่นอน บัลลาดเปียโนหรือรีฟกีตาร์ติดหูอันเป็นซิกเนเจอร์ของวงก็ยังคงมีให้เห็นอยู่นะครับ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะที่ทางวงไม่ได้ทำตามสมัยนิยมเกินไป จนลืมเอกลักษณ์เก่าๆของวง แต่น่าเสียดายที่ชุดนี้ยังไม่ถึงคำว่ามาสเตอร์พีชได้อยู่ดี ดูน้อยไปสำหรับผม ยังไม่เต็มอิ่มพอ มีความรู้สึกขาดๆเกินๆ แปลกๆ บางแทร็คฟังดูสนุก แต่ก็สนุกแบบประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เติมเต็มความรู้สึกได้ดีเท่าสองอัลบั้มแรกของวง ที่ตั้งมาตรฐานไว้สูงมากๆ แต่ละแทร็คขาดความต่อเนื่อง ไม่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แทร็คดนตรีบรรเลงสองแทร็คก็ออกแนวฟังฆ่าเวลาชัดๆ ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก ถ้าผมมีเวลาไม่มากพอ ผมสามารถกดข้ามแทร็คเหล่านั้นไปได้เลย 

แต่ถ้าคำนึงถึงเรื่องของระยะเวลาในการงานเพลงชุดนี้ของวงแค่หนึ่งปีครึ่งนั้น ก็ให้อภัยกับข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เพราะระยะเวลาสั้นมาก ผลงานเลยออกมาตามอัตภาพครับ ขาดๆเกินๆบ้าง ถ้ายืดเวลาในการทำงานเพลงมากกว่านี้ อัลบั้มชุดนี้จะสมบูรณ์แบบมากยิ่งกว่านี้ ถือว่าเป็นมาตรฐานกลางๆ ไม่ดีสุดหรือแย่สุด แต่แอบเสี่ยงต่อการถูกลืมเหมือน Mylo Xyloto ยังดีครับที่ A Head Full Of Dreams เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักฟังเพลงที่ต้องการอะไรที่รีแลกซ์ คลายเครียดได้บ้าง เพราะเนื้อหาเพลงส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี ไม่มีพิษมีภัย


จรรโลงใจได้ก็โอเคแล้ว

Top Track : Amazing Day , Up&Up , Fun & Everglow

Give  7/10



Thanks For Reading

See Ya

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Thank Me Later - Drake

ไม่ต้องขอบคุณอะไรมาก




ตามที่สัญญาเอาไว้กับชาวเพจว่า ผมจะหยิบเอาอัลบั้มฮิพฮอพในปี 2010 มารีวิวใหม่อีกรอบ ภายใต้ Hashtag #turnbackto2010 ในปี 2010 จะว่าไปแล้วเป็นยุครุ่งเรืองแห่งวงการฮิพฮอพอย่างแท้จริงครับ ผมเชื่อว่าใครหลายๆคนที่เป็นแฟนเพลงฮิพฮอพรวมถึงตัวผมด้วย เริ่มต้นฟังฮิพฮอพอย่างจริงจังก็ปีนี้เนี่ยแหละครับ  ศิลปินที่เราจะมารีวิวในวันนี้ก็คือ Drake แร็พเปอร์ชาวแคนาเดียน ที่มาพร้อมกับอัลบั้ม Thank Me Later แอลพีอัลบั้มแจ้งเกิดในวงกว้าง ก่อนหน้านั้นเดรกเคยแจ้งเกิดมาแล้วในอีพีอัลบั้ม So Far Gone ที่มีซิงเกิ้ลฮิตอย่าง Successful และ Best I Ever Had ไปได้สวยในบิลบอร์ดชาร์ตและได้ไปร่วมแจมกับแร็พเปอร์รุ่นพี่อย่าง Kanye West , Lil Wayne และ Eminem ในเพลง Forever อีกด้วย 

Theme ในอัลบั้ม Thank Me Later จะออกไปในทาง Solid Hiphop  เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงการใช้ชีวิตแบบคนมีชื่อเสียง ความรักที่ไม่ค่อยสมหวัง อกหักบ้างไรบ้าง บอกเล่าความกังวลกับชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังมีชื่อเสียง อัลบั้มชุดนี้ได้ Noah 40 Shebib โปรดิวเซอร์สหายคู่ใจคนปัจจุบันและ Boi-1-da มาช่วยให้อัลบั้มนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น 

เปิดอัลบั้มด้วย Firework พูดถึงพ่อแม่ของเดรกที่แยกทางกัน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Rihanna แบบอ้อมๆ Alicia Keys เป็นแขกรับเชิญเพลงนี้ สิ่งที่ผมชอบมากๆในแทร็คเปิดอัลบั้มชุดนี้นั่นก็คือ บรรยากาศเพลงค่อนข้างสงบและเป็นส่วนตัว การโชว์สกิลร้องของเดรกในท่อนฮุกได้อย่างไพเราะและกินใจคนฟัง คนเดียวก็เอาเพลงนี้ได้อยู่ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะได้นักร้องสาวเพชรเม็ดงามแห่งยุคมามาแจมในท่อนฮุกแค่ครึ่งเดียวก็ตาม


ต่อด้วย
Karaoke เป็นแทร็ค first impression บวกกับความแปลกใจนิดๆ ไม่น่าเชื่อว่าแร็พเปอร์ก็ร้องเพลงทำเสียงหลบได้ มันทำให้เพลงนี้ออกไปในทางแร็พที่มีความเป็นป็อบอาร์ต แตกต่างจากเพลงป็อบแร็พทั่วๆไป แทร็กนี้เดรกทำให้ผมปลาบปลื้มมากๆครับ repeat หลายรอบเลยล่ะ เพลงนี้พูดถึงชีวิตของเดรกที่กำลังจะได้เป็นซุปตาร์ตามที่ไฝ่ฝัน ทุกๆอย่างดูไปได้สวยแต่ความรักของเดรกกับแฟนเก่ากลับมีปัญหาซะงั้น  สืบไปสืบมาแฟนเก่าของเดรกทำอาชีพเป็นนักวางแผนงานแต่งงานซะด้วย เนื้อหาเพลงนี้น่าจะโดนใจคนที่กำลังตามความฝันตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดใจกับแฟนเก่าไม่ลง ใครที่กำลังเผชิญปัญหาลำบากใจแบบนี้ น่าจะอินเพลงนี้

หลังจากพูดถึงปัญหาเรื่องความรักที่สวนทางกับชื่อเสียงแล้ว เดรกก็ต่อจิ๊กซอว์ต่อด้วยเพลง The Resistance ที่พูดถึงความกังวลใจของเดรกที่มีต่อชื่อเสียงของเขาในอนาคตว่า มันจะทำให้เขาเสียผู้เสียคนหรือไม่ เพิ่มความคึกคักด้วย Over ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดนี้เป็นการประกาศกร้าวอย่างเป็นทางการว่า เขาพร้อมแล้วสำหรับการเป็นแร็พเปอร์อย่างเต็มตัว มาสนุกกับสาวๆต่อในเพลง Show Me A Good Time เพลงแร็พสนุกสนานบีทติดหูได้ Kanye West มาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ให้ ไม่แปลกใจเลยครับว่า สไตล์เพลงค่อนข้างมีอารมณ์ขันไปในตัวตามสไตล์ดั้งเดิมของคานเย สนุกสนานสำเริงกับชีวิตแร็พสตาร์ ในเพลง Up All Night ได้ Nicki Minaj แร็พเปอร์คู่ขวัญร่วมค่าย Young Money มาร่วมแจมด้วย ชีวิตของทั้งคู่ในช่วงนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นทั้งคู่เลยครับ ในเวลาต่อมาที่เพลงนี้ดัง นิกกี้ก็ปล่อยอัลบั้ม Pink Friday ตามมาติดๆด้วยครับ Fancy ที่พ่วง T.I และ Swizz Beatz มาร่วมแจมและโปรดิวซ์ด้วย เพลงจังหวะสนุกๆชื่นชมสาวๆที่รักอิสระ มีรสนิยมในการแต่งตัว 

เบรคเพลงเร็วด้วยเพลงแร็พสโลแจมอย่าง Shut It Down ได้ The Dream มาร่วมแจม พูดถึงผู้หญิงที่สวยอยู่แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแต่งเติมอะไรมากมาย แค่นี้ก็สวยถูกตาถูกใจพี่แล้ว ออกแนวชมเขาหรืออยากจะฟันเค้ากันแน่ 555 Unforgettable แร็พผสมผสานอาร์แอนด์บีช้าๆ ได้ Young Jeezy มาช่วยแจม เป็นการอุปมาอุปมัยว่า Drake จะทำเพลงในสไตล์ของเขาให้เป็นที่จดจำแก่ทุกๆคนให้ได้ ในขณะเดียวกันก็ถ่อมตัวและไม่ลืมกำพืดของตัวเองด้วย ในขณะที่ Young Jeezy พูดถึงความเจ็บปวดในอดีตที่ยังคงไม่ลืมเลือน แต่มันก็มีมุมมองที่สวยงามอยู่ในตัวมันด้วย เป็นแทร็คที่โลกสวย น่าจดจำมากๆสำหรับผม 

ใส่ความหนักหน่วงเข้าไปด้วย Light Up แทร็คนี้น่าจับตามองเพราะได้ Jay-Z มาร่วม Feat ด้วย แต่ไม่ได้ตัดเป็นซิงเกิ้ลอาจเป็นเพราะเพลงนี้ฟังค่อนข้างยากพอสมควร แต่เพลงเจ๋งมากๆ ถ้ารู้ความหมายของเพลงนี้จะเห็นได้ว่า สองคนนี้มีความคิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว Drake แร็พเปิดบอกเล่าถึงชีวิตที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เดรกเองก็เตือนสติตัวเองเสมอว่า เมื่อเขาเป็นคนดังแล้ว เขาจะไม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่ๆ 

ส่วนท่อนสองที่ Jay-Z แร็พนั้นไปทางตรงข้ามเลยล่ะ ออกแนวแทงใจดำเดรกอย่างเห็นได้ชัด โดย Jay-Z แอบเตือน Drake ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนมาแล้ว มีทั้งเรื่องการวางตัวในวงการเพลงฮิพฮอพ รวมไปถึงด้านมืดของชื่อเสียงที่ทำให้เปลี่ยนเราให้เป็นคนละคน ประโยคสุดท้ายที่เจย์-ซีแร็พเป็นอะไรที่พีคมากดั่งท่อนที่ว่า 

Sorry mama, I promised it wouldn't change me But I would have went insane had I remained the same me 

Fuck niggas, bitches too, all I got is this money, this'll do

แปลเป็นไทยจับใจความได้ว่า ต่อให้เอ็งดังแค่ไหน ชีวิตและตัวตนของเอ็งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป กูเคยหลงระเริงกับมันมาแล้ว 



Miss Me ซิงเกิ้ลที่สามจากอัลบั้มชุดนี้ เพลงนี้เดรกโหยหาความคิดถึงจากคนรักเก่าได้ Lil Wayne มาร่สมฟีทด้วย ฟังเพลินๆ คั่นเวลาด้วยเพลงช้าๆเข้าสู่โมหดร้องเต็มๆด้วย Cece's Interlude ต่อด้วยซิงเกิ้ลที่สองอย่าง Find Your Love เพลงนี้ทำให้เดรกแจ้งเกิดอย่างวงกว้าง ติดท็อบเท็นในบิลบอร์ดชาร์ต เพลงอาร์แอนด์บีเต็มสูบบวกด้วยจังหวะบีทอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Kanye West ผมเชื่อว่าสาวๆทุกคนต้องเริ่มหลงเสน่ห์และเคลิ้บเคลิ้มไปกับเสียงร้องของเดรก จนต้องยื่นใบสมัครเป็นแฟนคลับกันเลยทีเดียว ผมเองก็ชอบครับ  ปิดท้ายด้วย Thank Me Now ชื่อเพลงออกแนวกวนตีนคนฟัง มึงต้องขอบคุณกูเดี๋ยวนี้ แร็พยาวๆขอบคุณคนโน้นคนนี้ไปเลย ได้ทิมบาแลนด์มาร่วมโปรดิวซ์ให้



Thank Me Later สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของเดรกถือว่าไปได้สวยมากๆครับ เดรกสามารถจรรโลงใจผู้ฟังตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้าย ตัวเพลงเข้าถึงง่าย เพราะเดรกเลือกหยิบประด็นเรื่องราวส่วนตัวของตัวเองมาพูดในอัลบั้มชุดนี้ เลยทำให้ตัวเพลงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ละเพลงในอัลบั้มชุดนี้ส่วนใหญ่จะไม่อารมณ์กระโชกโฮกฮากหรือฮาร์ดคอมากนัก ไปในทางที่เนิบนาบ ยืดยาดบ้าง แต่ก็สามารถหยิบขึ้นมาฟังได้เรื่อยๆในระยะยาว จุดเสียของอัลบั้มชุดนี้ คือ วนเวียนอยู่กับเรื่องของชื่อเสียงและผู้หญิงดูไม่แปลกใหม่เอาเสียเลย แต่การโชว์สกิลการแร็พและการร้องของเดรกก็เป็นตัวการันตีมากพอที่ทำให้เดรกแตกต่างและสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการในระยะยาวได้ ไม่ใช่แค่แร็พได้หรือเป็นเด็กปั้นของ Lil Wayne เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ Drake เป็นแร็พเปอร์ที่ร้องเพลงได้ต่างหาก Drake หยิบจุดแข็งของตัวเองมาใส่ในงานชุดนี้ เลยทำให้อัลบั้มชุดนี้และชุดต่อๆมาแตกต่างจากแร็พเปอร์รายอื่นอย่างแน่นอน จะว่าไปแล้วในวงการฮิพฮอพไม่ค่อยมีแร็พเปอร์คนไหนร้องเพลงได้เป็นตุกเป็นตักเท่าเขาคนนี้


แร็พเป็นแถมร้องได้จับตัวได้ยากมากในสมัยนี้

Top Track : Firework , Karaoke , Find Your Love , Show Me A Good Time , Unforgettable , Light Up

Give 8/10


Thanks For Reading

 See Ya




  

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] 25 - Adele

ก้าวเข้าสู่เบญจเพส





ช่วงสิ้นปีนอกจากจะเป็นเทศกาลแห่งความสุขต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงแล้ว ยังเป็นช่วงที่นักฟังเพลงอย่างเราน่าจะมีความสุขสุดๆเมื่อได้ฟังผลงานใหม่ๆของศิลปินซุปตาร์ระดับโลกที่เลือกช่วงเวลาแห่งความสุขช่วงนี้ในการปล่อยผลงานออกมาให้ฟังส่งท้ายปี คราวที่แล้วผมเพิ่งประทับใจผลงานใหม่ของ Justin Bieber ไปหมาดๆ คราวนี้ก็ได้เวลาของ Diva สาวแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษอย่าง Adele ออกผลงานชุดที่สามให้แฟนเพลงได้ชื่นใจกันบ้างในอัลบั้มที่มีชื่อว่า 25 ซึ่งชื่ออัลบั้มของเธอก็สอดคล้องกับอายุปัจจุบันของเธออีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเธอจะตั้งชื่ออัลบั้มแบบนี้ไปอีกนานหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปแล้วล่ะครับ คนที่กล้าเอาเลขอายุของตัวเองมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้มก็มีแต่อเดลเท่านั้นที่ทำแล้วสามารถเป็นที่จดจำได้ทั่วโลก ตั้งแต่ 19 อันนี้อาจจะยังไม่เจิดจรัสมากแต่ก็เริ่มเห็นแววความเป็น Diva มาแต่ไกล อีกสองปีต่อมา 21 นี่ซิของจริง ถึงอายุจะแค่ยี่สิบต้นๆ แต่ศักยภาพและความคิดความอ่านในงานเพลงของเธอมันช่างเกินอายุซะเหลือเกิน ไม่ได้หมายความว่าแก่แดด แต่เก่งกาจอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น Rolling In The Deep เพลงตัดพ้อถ่ายทอดออกมาได้ทรงพลัง เผาคนรักเก่าแบบไม่มีชิ้นดี และ Someone Like You เพลงรักตัดใจที่ซึ้งและหนักแน่นได้ใจคนฟังมากๆ  และเพลงอื่นๆอีกมากมายส่งต่อให้อัลบั้ม 21 ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าและกวาดรางวัลแกรมมี่ไปนอนกอดบ้านจนเต็มตู้ จากนักร้องสาวร่างอวบที่เคยโดนมองข้าม ตอนนี้กลายเป็นนักร้องสาวที่มีบารมีล้นเหลือจนไปได้ไกลแล้วเรียบร้อย 

4 ปีให้หลังวันนี้ก็มาถึงแล้วครับกับ 25 บทเพลงในอัลบั้มชุดนี้มาพร้อมกับความคิดความอ่านที่โตขึ้นสมวัยจริงๆ เนื้อหาเพลงในชุดนี้ยังว่าด้วยเรื่องของความรักรสขมเช่นเคย สไตล์เพลงป็อบ โซล อาร์แอนด์บีตามสไตล์ถนัด ส่วนโปรดิวเซอร์ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้ง Max Martin , Shellback , The Smeezingtons และ Ryan Tedder ซึ่งเป็นแนวหน้าของวงการเพลงป็อบยุคปัจจุบัน มาช่วยเสริมทัพในงานชุดนี้ด้วย




เริ่มด้วยซิงเกิ้ลเปิดตัว Hello คำทักทายง่ายๆแต่มีนัยสำคัญยิ่งนัก เปิดมาแบบเงียบๆ แต่ท่อนฮุกมาแบบทรงพลังด้วยบัลลาดเปียโน อารมณ์เพลงโซล ขนลุกไปพร้อมๆกับความหมายของเพลงอีกเช่นเคย จะเกิดไรขึ้นเมื่อเรายังคงรื้อฟื้นความรักครั้งเก่าอยู่ ทั้งๆที่เวลาผ่านไปนานก็จริง เราก็ยังลืมเขาไม่ได้อยู่ดี เป็นเพลงที่เหมาะกับการเป็นซิงเกิ้ลแรกที่สุด ชื่อก็สื่อ แถมตัวเพลงยังคงบ่งบอกความเป็นอเดลอยู่เต็มเปี่ยม Send My Love (To Your New Lover) เพิ่มความคึกคักเข้ามานิดนึงด้วยจังหวะเพลงป็อบอคลูสติก ถึงแม้ว่าเนื้อหาจะว่าด้วยความรักที่จบลงอย่างน่าเสียดาย แต่ก็แฝงด้วยความจริงใจ อวยพรให้เธอนั้นได้ไปด้วยกันดีกับเขาคนนั้น และที่สำคัญดูแลเค้าคนนั้นให้ดีด้วยล่ะ ได้ Max Martin มาอำนวยการแทร็คนี้ หลังจากที่ฝากความยินดีให้ความรักครั้งใหม่ของคนรักเก่าแล้ว มาต่อด้วย I Miss You โซลหลอนๆ ฟังแล้วเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งอารมณ์อาลัยอาวรณ์เลยล่ะครับ 




When We Were Young ซิงเกิ้ลที่สองมาในสไตล์บัลลาดเปียโนช้าเนิบๆ มาแบบเงียบๆแล้วค่อยพีคในช่วงท้าย เป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ ประทับใจยิ่งกว่า Hello โดยเนื้อหาของเพลงนี้ไม่ได้ต้องการจะสื่อถึงการเจอกันกับคนรักเก่าเพียงอย่างเดียว แต่เหมารวมการเจอเพื่อนเก่าในวัยเยาว์อีกด้วย ซึ่งมันก็มาพร้อมกับความทรงจำในวัยเยาว์ที่มีต่อกันได้ย้อนกลับมาให้หวนรำลึกถึงอีกครั้ง ภาคดนตรีที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปและค่อยจัดเต็มในช่วงท้าย  เสียงอันทรงพลังของอเดลช่วยอุ้มเพลงได้ดี สร้างจุดพีคได้ถูกที่ถูกเวลา

The Remedy ได้ Ryan Tedder มาร่วมแต่งด้วย บัลลาดเปียโนล้วนๆ เมโลดี้ไหลลื่นมาก ฟังแล้วจรรโลงใจยิ่งนัก เนื้อหาโรแมนติกโคตรๆ ถ้าหากเธอกำลังท้อแท้ เจ็บปวดใจ ในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ให้ชั้นคนนี้เยียวยารักษาแผลใจเธอเองนะ หนักแน่นและซื่อตรงในความรักมากๆ อื้อหือ ฟังเพลงนี้แล้วอารมณ์โรแมนติกเข้าสิงเลยครัชท่าน 



เพิ่มความคึกคักนิดนึงด้วย Water Under The Bridge จังหวะเพลงกลางๆไม่หวือหวามากนัก ส่วน River Lea ก็ฟังได้เรื่อยๆ สองแทร็คนี้ไม่หวือหวา ฟังได้เรื่อยๆไม่ถึงขั้นแย่มากจนต้องข้ามไปฟังแทร็คอื่น ถ้ามีเวลาฟังเต็มอัลบั้มมากพอ แต่พอมาถึง Love In The Dark อื้อหือ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด แทร็คนี้อลังการงานสร้างมากๆครับ การเรียบเรียงดนตรีออเคลสตร้ามันช่างละเมียดละไมซักเหลือเกิน ช่วงท้ายเพลงทำผมขนลุกมากๆ ตอนแรกก็คิดว่าเพลงนี้น่าจะมาโทนดาร์กหม่น แต่ที่ไหนได้มันเป็นเพลงที่ดาร์กได้อย่างมีระดับมากๆ เป็นแทร็คที่อีพิคที่สุดในชุดนี้ ชอบมากๆ ห้ามข้ามแทร็คนี้เด็ดขาด





เมื่อกี้นี้ซึมซับความอลังกาลไปแล้ว มาซึบซับความหว้าเหว่ในเพลง Million Years Ago โฟล์คกีตาร์โปร่งๆฟังสบายๆ แต่ให้อารมณ์เหงาหงอย แห้งแล้งสุดๆ ผมให้ความรู้สึกว่าแทร็คนี้เป็นแทร็คที่ผมข้ามไม่ได้อยู่ดี ถ้าคุณคิดว่า Love In The Dark พีคแล้ว 

All I Ask ก็พีคสุดๆเช่นกัน บัลลาดเปียโนล้วนๆ เป็นแทร็คโชว์อินเนอร์และพลังเสียงของอเดลล้วนๆ เป็นแทร็ครองสุดท้ายที่ผมเปิดซ้ำฟังอีกรอบเป็นประจำ เพราะเพลงมันสุดติ่งจริงๆ อเดลกำลังจะฆ่าคนอกหักชัดๆ เสียงของอเดลมันตัดขั้วหัวใจดวงน้อยของผมไปเต็มๆ เข้าถึงอารมณ์คนอกหักหรือคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนได้ดีที่สุด ก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกทางกัน ชั้นขอกอดเธอ จูบเธอ ซั่มเธอ เห้ย ไอ้อันหลังไม่ใช่แหละ เป็นครั้งสุดท้ายจะได้มั้ย ผมเชื่อว่าคนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ฟังเพลงนี้น่าจะอิน เพลงนี้พิเศษสุดๆได้ Bruno Mars มาช่วยแต่งด้วย ไม่แปลกใจเลยครับว่าสไตล์เพลงนี้ค่อนข้างไปทาง When I Was Your Man ของบรูโน่ มาร์สเยอะพอสมควร แต่อันนี้บีบอารมณ์คนฟังได้มากกว่า ด้วยน้ำเสียงและเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องความรักที่ไปด้วยกันไม่รอด

ปิดท้ายด้วย Sweet Devotion เป็นแทร็คที่ฟีลกู๊ดที่สุดในชุดนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากน้อง Angelo ลูกชายคนแรกของอเดลมาเต็มๆ ในช่วงต้นเพลงจะมีเสียงน้องแองเจโล่หัวเราะเยาะก่อนเปิดเพลงด้วย การที่อเดลให้เพลงนี้เป็นเพลงปิดท้าย คล้ายๆว่าตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของอเดลเธอเจอเรื่องผิดหวังในความรักมาเยอะแยะมากมายดั่งที่เธอเล่าตลอด 2 อัลบั้มที่ผ่านมา พอมาถึงแทร็คสุดท้ายในอัลบั้มชุดล่าสุด ผู้ฟังรับรู้ได้เลยว่า การได้เป็นแม่นั้นเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุดของชีวิตผู้หญิงคนนึงจริงๆ ชีวิตของ อเดลตอนนี้ก็มีความสุขเช่นกัน เพราะเธอได้ทำฝันที่เป็นจริงแล้ว เป็นชีวิตที่แสนหอมหวานดั่งชื่อเพลง




อัลบั้มเบญจเพสชุดนี้เป็นการกลับมาของอเดลที่สมศักดิ์ศรี ยังคงรักษาคุณภาพได้ดีเช่นเคย ทั้งภาคดนตรี การร้อง การสื่ออารมณ์อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงอย่างแน่นอน การบันทึกเสียงยอดเยี่ยมมากๆ การเรียบเรียงดนตรีมีความพิถีพิถัน ทุกอย่างทำออกมาได้อย่างลงตัว เนื้อหาอย่างที่บอกไปมีความคิดความอ่านที่โตขึ้น ถ้าจะซื้อแผ่นมาฟังก็คุ้มครับ 

ถึงเพลงในชุดนี้มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่การเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังทุกเพศทุกวัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่นัก โดยเฉพาะวัยรุ่น อันนี้ก็ต้องยอมรับกันตามตรงครับว่า เพลงของอเดลมีความอืดอาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วัยรุ่นอาจเซ็งกับการฟังเพลงในชุดนี้อย่างแน่นอน และที่สำคัญเพลงของอเดลนั้นว่าด้วยเรื่องความรักของผู้ใหญ่ที่โตแล้ว มันไม่ใช่ puppy love เอาซะเลย มันคือความบันเทิงรสขมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งความรักของเด็กวัยรุ่นนั้นยังคงไม่ไปไกลถึงขนาดนั้นแน่นอน ถ้าอยากฟังเพลงรักอกหักจังหวะคึกคักเหมาะกับวัยรุ่นล่ะก็ให้ไปฟัง Taylor Swift ,  Ariana Grande หรือไม่ก็ Carly Rae Jepsen น่าจะดีกว่า แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเพลงของ มาราย แครี่ หรือ ซาลีน ดีออน การรับฟังความบันเทิงรสขมของ Adele ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นจนเกินไปแน่นอน


ถึงจะขม แต่ก็เป็นเรื่องจริงล้วนๆ


Top Track : All I Ask , Love In The Dark , When We Were Young , The Remedy , Million Years Ago

Give  8.5/10

Thanks For Reading
See Ya



วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Recovery - Eminem

เจอทางสว่าง





ตามที่สัญญากันไว้ว่า ภายใต้ Hashtag #turnbackto2010 ผู้เขียนจะนำรีวิวอัลบั้มปี 2010 มาให้แฟนเพจทุกคนได้อ่านย้อนวันวานกัน อัลบัมแรกเป็น  My Beautiful Dark Twisted Fantasy อัลบั้มมาสเตอร์พีชของ Kanye West ก็ผ่านพ้นไปแล้ว มาถึงอัลบั้มชุดที่สองเป็นของแร้พเปอร์ซุปตาร์ซึ่งเป็นดาวค้างฟ้า ณ ปัจจุบันนี้อย่าง Eminem มาพร้อม studio album ชุด 7 อย่าง Recovery อีกหนึ่งอัลบั้มที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วงนั้นเลยครับ การันตีด้วยยอดขายถึง 741,000 copies ในสัปดาห์แรก ยึดอันดับ 1 แทบทุกชาร์ตและหลายๆประเทศได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ซะด้วย จนกลายเป็นแชมป์อัลบั้มที่มียอดดาวน์โหลดดิจิตอลอัลบั้มสูงสุดตลอดกาล ก่อนที่ Adele จะโค่นแชมป์ด้วยอัลบั้ม 21 ในเวลาต่อมา  นอกจากนี้ยังกวาดรางวัลอัลบั้มยอดฮิตมาตั้งหลายงานหลายสถาบันนักวิจารณ์ซะด้วย แถมได้รางวัลทรงคุณค่าแกรมมี่สาขา Best Rap Album มานอนกอดได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของป๋าได้อย่างสุดยอดจริงๆ

อัลบั้มนี้ยังได้มันสมองหลักอย่าง Dr.Dre มาเป็น Executive Producer อีกเช่นเคย พ่วงด้วย Mr.Porter และ Just Blaze มาร่วมเขียนเพลงและโปร์ดิวซ์ให้ อาจฟังดูซ้ำซาก หน้าเดิมๆ แต่แนวเพลงในอัลบั้มนี้โดยรวมถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวเอามากๆ เกือบทั้งอัลบั้ม แปลกใหม่ และ มันส์ขึ้น ส่วนเรื่องหน้าปกอัลบั้มเป็นอะไรที่เรียบง่าย เดินบนถนนอย่างเท่ๆ บ่งบอกคอนเซปต์อัลบั้มที่ไปในทางสว่างมากขึ้น เดินออกโรงบำบัดยาได้อย่างภูมิใจว่า กูกลับมาแล้วโว้ยยย 


เปิดแทร็คด้วย Cold Wind Blows สนุกครื้นเครง ทา ดัม ทา ดัม ทัม ดา ทัม  ดูมีความเป็นอัลเทอเนทีฟฮิพฮอพมากขึ้น ส่วนเนื้อหาก็เหน็บแนม celeb หน้าเดิมๆอย่าง Mariah Carey , Elton John ยังไม่ทิ้งสไตล์เดิม แต่เพลงนี้ผมว่า ยังเหน็บแนมไม่แสบสันต์พอเท่ากับสมัยก่อน อาจจะเป็นเพราะป๋าแกอายุมากขึ้นละมั้ง ต่อด้วย Talkin' 2 Myself (feat. Kobe) เป็นการบอกการกลับมาได้ดีมากๆครับ เพลงเท่ ได้ Kobe มาร้องเสริมความเข้มและสุขุมมากขึ้น เบสตึบได้ใจ เนื้อหาดีมากๆ ซึ่งเพลงนี้เองป๋าเองก็ได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ทั้งเหงาเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเหมือนไม่มีคนมาสนใจ และ รู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมวงการ   ฮิพฮอพอย่าง Lil Wayne , T.I และ Kanye West จนเกือบแต่งเพลง Diss ซะแล้ว แต่โชคดีที่เขาใจแข็งพอที่จะไม่ทำ (จริงอ่ะเปล่าเนี่ยไม่รู้)

On Fire มาโทนดาร์กนิดๆ แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆมากกลับเพลงนี้ แต่ก็พอฟังได้ ถ้าไม่ฟังหรือข้ามไปเพลงอื่นก็ได้ครับ ถือว่าไม่พลาดอะไรมากมาย มันส์ต่อเนื่องด้วย Won’t Back Down (feat. Pink) เปิดด้วยโซโล่เท่ๆมันส์ๆ นี่มันแร็พ Heavy metal ชัดๆ hard core มันส์ๆตั้ง3ท่อน แร็พตะโกน ไม่หวั่นคอแตกเลยทีเดียว แต่ใช้แขกรับเชิญอย่างสาวร็อค P!NK ไม่ค่อยคุ้มซะเท่าไหร่ น่าจะให้ร้องมากกว่านี้ เลยดูเหมือนว่าไม่ต้องใส่ชื่อ feat P!NK เติมก็ได้



W.T.P. มันส์กันต่อด้วยเพลวจังหวะหนักๆ beat เบสหนักได้ใจ คงความเถื่อนแบบสไตล์ Gangsta นิดๆ เนื้อหากลิ่นอายแบบ party รถเทลเลอร์ พอผมฟังท่อนฮุคแล้วก็พอรู้ว่า มันย่อมาจาก White Trash Party นั่นเอง Going Through Changes เบรคด้วยเพลงช้าๆ แปะsample เพลง changes ของ Black Sabbath เข้ากันได้ดีมากทั้งองค์ประกอบเพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวกับการกลับตัวกลับใจ และสู้กับตัวเองของป๋าเอ็มที่พยายามจะเลิกยานอนหลับให้สำเร็จ ป๋าแกก็ได้แต่งเพลงให้ลูกสาวแกด้วย นี่แหละคือเหตุผลที่พี่แกนั้นยังลุกขึ้นสู้ต่อไป ไม่งั้นคงไม่มีเอมิเน็มมาถึงทุกวันนี้



I'm not afraid to take a stand
Everybody come take my hand
We'll walk this road together, through the storm
Whatever weather, cold or warm
Just let you know that, you're not alone
Holla if you feel that you've been down the same road

เข้าสู่ช่วงกลางอัลบั้มด้วยซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดนี้  Not Afraid ขอพูดถึงเพลงนี้ยาวหน่อยนะครับ เพราะเป็นเพลงที่สามารถบอกคอนเซปต์อัลบั้มนี้ได้ดีที่สุด แสดงจุดยืนชัดเจนว่า กูจะแร็พแบบไม่แคร์สื่ออีกต่อไป แถมมาทวงบัลลังก์คืนด้วย หลังจากปล่อยให้ Lil Wayne นั้นได้ดิบได้ดีอยู่นาน ดูจากเพลงนี้แล้วผมเลยคิดว่า ทั้งสองคนนี้กลับตกอยู่ในช่วงตกที่นั่งลำบากอยู่เหมือนกัน Lil Wayne ติดคุก ส่วนป๋าเอ็มเข้าสถานบำบัด เพลงมันส์ดีครับ ส่วนเอ็มวี ตอนแรกก็ เอ้ย ยืนอยู่บนตึกโคตรเท่ แต่ตอนท่อนสามนี่ เอิ่ม นั่นมัน Hancock ชัดๆ 

สารภาพว่าตอนที่แอดมินเจอปัญหาหลายเรื่องรุมเร้าเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ผิดหวังจากความรัก แอดมินฟังเพลงนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองครับ ว่าเราจะไม่ยอมสูญเสียตัวตนของตัวเองเด็ดขาด ถือเป็นเพลงที่เอมิเน็มไม่ได้แต่งเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแต่งให้กำลังใจกับผู้ฟังด้วย Eminem เองก็เจอปัญหาหลายอย่างทั้ง ติดยาไม่เป็นอันทำงาน จนต้องเข้ารับบำบัด สูญเสียเพื่อนรักอย่าง Proof รวมไปถึง ล้มเหลวในชีวิตคู่กับภรรยาเก่าด้วย จนเป็นแรงผลักดันให้แต่งเพลงนี้เพื่อทวงความเป็นราชาเพลงแร็พกลับคืนมา ที่ผม copy paste ท่อนฮุกเพลงนี้ เพราะมันมีความหมายที่ทรงพลังและหนักแน่นสุดๆ ติดหูและซึมซับเข้าไปในใจของผู้ฟังเต็มๆ สุดยอดดด ผู้อ่านสามารถเอาเพลงนี้ไปใช้เป็นแรงบัลใจในการใช้ชีวิตได้นะครับ 

Seduction  เข้าสู่โทนดาร์ก R&B ถือว่าเป็นเพลงที่ฟังยากอยู่เหมือนกาน ผมฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกชอบ เลยข้ามไปเพลงต่อไปซะงั้น แต่พอได้ฟังในที่เงียบๆ ก็โอเคดีครับ ตอนนั้นผมอาจจะฟังแบบฉาบฉวยก็เป็นไปได้ เนื้อหาก็โคตรจะโจ๋งครึ้มเลยล่ะนะ




No Love (feat. Lil Wayne) ชิงเกิ้ลที่สาม โทนออกแนวจริงจังเอามากๆ สมชื่อเพลงเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัดพ้อถึงเมียเก่าของป๋าแกหรอกนะครับ จะบอกเล่าเกี่ยวกับ ชีวิตในวัยเด็กของ Lil Wayne และ Eminem ที่ถูกรังแก กลายเป็นเด็กเก็บกดไปเลย แต่งเพลงนี้มาก็เพื่อเอาคืนไอ้พวกนั้นโดยเฉพาะ ผมเรียกเพลงนี้ว่า เพลงของเด็กเก็บกด  แปะ sample ด้วยเพลง What Is Love ของ Haddaway แทรกระหว่างเพลงได้อย่างลงตัว ตบด้วยบีทหนัก แร็พเอื่อยๆเมากัญชาของ weezy และต่อด้วยท่อนแร็พรัว กระแทกกระทั้น และโคตรเร็วของป๋าเอ็ม จุดเสียที่ทำให้ผมนั้นไม่ให้เต็มสิบนั่นอาจจะเป็นเพราะ verse ของอีตา weezy เนี่ยแหละ ที่ดูไม่เข้ากันซะเลย คนละสไตล์กันชัดๆ เรียกได้ป๋าเอ็มเราแย่งซีนไปเต็มๆครับงานนี้ ถ้าใครไม่ชอบตา Weezy จริงๆ เลื่อนไปที่ 2:42 เลยจะดีกว่า เพราะนั่นแหละครับจะได้รู้ว่า เทพตัวจริงคือใครกันแน่ ตอบหน่อย เหตุผลที่เลือก Lil wayne มานั้นอาจจะเป็นเพราะว่าพี่แกนั้นเคยโดนแกล้งเหมือนป๋าเอ็มรึมั้งครับ จึงถ่ายทอดได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ก็พี่แกก็มาเป็นแขกตอบแทนให้ ตอนที่ร่วมงานกันในเพลง Drop the world แน่เลย  ป๋านั้นก็แร็พปล่อยของออกมาเต็มที่ เหมือนยังโกรธไม่หายเลย สะใจวุ้ย อดรีนาลีนพุ่ง



ต่อด้วยซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มนี้ Space Bound ที่ผมดีใจมากๆที่ตัดเป็นซิงเกิ้ล ผมฟังกี่รอบก็ไม่มีวันเบื่อเลย เผลอๆผมชอบมากกว่าซิงเกิ้ลสุดฮิตในอัลบั้มนี้ซะอีก เต็มร้อยไปเลย เป็นแร็พที่ป็อบเอามากๆ อคูสติกช้าๆ แร็พที่ไม่กระแทกกระทั้นมากไป เข้ากันได้ดีมากๆ ท่อนฮุคเสียงสูงที่ร้องโดย Steve McEwan ช่วยเสริมเพลงนี้อย่างแรงและกล่อมกล่อมมากๆ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมอยากแนะนำสำหรับใครที่ชอบฮิพฮอพผสมป็อบ ต้องมีไว้ในมือถือ

เนื้อหาก็ตัดพ้อคนรักเก่าซะด้วย ในเอ็มวีก็เป็นที่ถกเถียงเยอะอยู่พอสมควร โดยเฉพาะฉากที่ป๋าเอ็มนั้นยิงตัวตายเนี่ยแหละครับ เกิดดราม่าจนได้ กลัวคนจะทำตามอ่ะดิ

Cinderella Man ต่อด้วยเพลงหนักๆมันส์ๆ ที่ใครหลายๆคนมองข้าม แต่ผมรู้สึกว่าก็เจ๋งดีนะ มันส์ดีออก เพลงนี้เฮียแต่งให้กับ Script Shepherd หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มและผู้ร้องประสานเสียงในเพลงนี้ ที่ต้องเสียพี่ชายไปจากการถูกคนร้ายแทงต่อหน้าคุณแม่ของเขา เจ๋งทั้งแร็พเปอร์และเนื้อหาเลยนะเนี่ย



25 to Life  เพลงเปรียบเปรยเหมือนชีวิตนั้นติิดกับเหมือนโดนจำคุกตลอดชีวิต 25 ปี เลยทีเดียว (โทษสำหรับอาชญากรเบอร์หนึ่ง) ในที่สุดพี่แกก็เป็นอิสระแล้ว (ใช้โทษหมดแล้ว) และยังแต่งเปรียบเปรยถึงแนวเพลงฮิพฮอพที่เขารักด้วย ได้เสียงสูงของ Liz Rodrigues ช่วยให้เพลงนั้นดูซอฟต์ลง แต่ท่อนแร็พนั่นดูไม่ซอฟต์เอาเสียเลย ถ้าเทียบกับ Space Bound แล้ว เพลงหลังทำได้สมูทกว่าครับ

So Bad เหมือนกับเฮียแกจะพยายามคงสไตล์เก่าๆที่มาแบบป่วนๆให้ได้มากที่สุด แต่ความพยายามนั้นก็ดูจะไม่ได้ผลซะเท่าไหร่สำหรับเพลงนี้ครับ ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดามากๆ ดีนะที่ดนตรียังช่วยเพลงนี้ ไม่ให้ดูกลวงจนเกินไป บอกไปเลยว่า กูมันเลวอยู่แล้ว ก็แค่นั้น

Almost Famous  intro มาตอนแรกถึงกับงงมากๆ เหมือนเอาฉากนึงของหนังเรื่องนึงมา แต่ผมว่าดูไม่ค่อยลงตัวซะเท่าไหร่ แปลกๆ แต่ rap โคตรฮาร์ดคอมากๆ แต่ผมว่ายังสู้ Won't Back Down ไม่ได้เท่าไหร่ เพลงนี้ยังได้  Liz Rodrigues มาช่วยร้องท่อนฮุคให้ แต่ไม่โดดเด่นเลย เป็นเพลงหนักที่ฟังยากอยู่เหมือนกานฮะ



Love the Way You Lie (feat. Rihanna) มาถึงแล้วสำหรับซิงเกิ้ลสุดฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง จะไม่ให้ได้รับความสนใจได้ไงล่ะ แขกรับเชิญเป็นถึงซุปตาร์อย่าง Rihanna มาร่วมแจมด้วย และได้เจ๊ Skylar Grey มาช่วยแต่งเพลงนี้ด้วย intro เปียโนโดดเด่นอย่างแรง เป็นเพลงที่ผมคิดว่า soft สุด เข้าถึงง่ายที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ ตอนเห็นแทร็คนี้ใน list อัลบั้มใครแรก ถึงกับตื่นเต้นเลยทีเดียว เนื้อหาก็พูดถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหลอกลวงซะด้วย mv นางเอกก็ได้แม่สาวสุดจี๊ดอย่าง Megan Fox และ พระเอกอย่าง Dominic Monaghan มาเล่นเอ็มวีซะด้วย ขอบอกว่าใครที่ยังไม่ได้ดู mv นี้ ถามจริงเหอะ ไปอยู่ไหนมา  ป๋าแกคงอยากจะเอาใจคอ pop culture ดูบ้าง และก็ได้ผลครับ เรียกแฟนเพลงที่ไม่ใช่เอมิเนมมายื่นใบสมัครเยอะอยู่ ผมขอโม๊ว่าผมฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เพลงนี้ยังไม่release อัลบั้มนี้ซะด้วยซ้ำ แอบไปดาวน์โหลดเถื่อน อิอิ พอเพลงนี้ฮิตปุ๊บ ก็รู้สึกเบื่อทันที 555 แต่จริงๆแล้วถ้าใครเป็นแฟนเพลงตัวยงของป๋าเอ็มบางคน คงเห็นว่าเพลงนี้ดูธรรมดาไปหน่อย คงรู้สึกไม่ต่างจากผมหรอกครับ  ใครที่อยากจะแร็พอวดเพื่อน ใช้เพลงนี้ไปแร็พโชว์ได้สบาย เพราะเค้ารู้จักเพลงนี้ 555 

You’re Never Over ปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลงแร็พบัลลาดที่แต่งให้ Proof แห่ง D12 เพื่อนที่สนิทที่สุดของ Shady ที่ถูกยิงตายอย่างน่าสลด เนื้อหาก็ฟังดูซาบซึ้งอยู่เหมือนกานนะ ปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างดีครับ



Recovery เป็นการกลับมาที่ดูดี สุขุมขึ้น และยังเก๋าเกมส์แร็พอีกเช่นเคย หลังจากที่สองอัลบั้มก่อนหน้านั้น ไม่ค่อยถูกใจแฟนเพลงและนักวิจารณ์ซะเท่าไหร่ ปรับเปลี่ยนโน่น ปรับเปลี่ยนนี่อยู่นานพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นงานแร็พที่ดูป็อปที่สุดตามที่เอมิเนมบอกจริงๆ ตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มออกมา ผมฟังอัลบั้มนี้อยู่หลายรอบพอสมควรตอนฟังจนเบื่อเลย 555 แต่ไม่เป็นไรครับ แต่เพื่อแฟนเพจทุกคนที่ติดตามเพจผมมาตลอด ผมเลยอยากให้บทความรีวิวที่ผมเขียนทิ้งไว้เป็นมรดกตกทอดให้แฟนเพลงสากลได้อ่านกันต่อไป 5555 

Recovery ไม่ได้แปลว่าการเอาคืนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบอกตัวเองว่า กูหายป่วยหายเศร้า หายทุกข์ และหายกลัวแล้วนะ กูพร้อมจะกลับมาทำในสิ่งที่กูรักที่สุดนั่นก็คือ การเป็นศิลปินฮิพฮอพ แต่งเพลง สร้างความบันเทิงและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผู้คนด้วยศิลปะที่เรียกว่า บทเพลง ต่อไป ถึงแม้ว่าบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้จะสูญเสียสไตล์เก่าที่เราคุ้นเคยในสามอัลบั้มแรกของเอมิเน็ม

แต่เอมิเน็มไม่เคยสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอย่างแน่นอน


Top Track : Not Afraid , Space Bound , No Love (Only Eminem's Verse) , 25 To Life , Talkin' 2 Myself

Give  8.5/10


Thanks For Reading

See Ya

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] My Beautiful Dark Twisted Fantasy-Kanye West (ฉบับครบรอบ 5 ปี)

โลกแห่งจินตนาการสุดแสนพิศดารของคานเย




ผมจำได้ว่าปี 2010 เป็นปีทองแห่งวงการฮิพฮอพอย่างแท้จริง แร็พเปอร์ระดับซุปตาร์ ไม่ว่าจะเป็น Eminem ปล่อยอัลบั้ม Recovery ผลงานที่สามารถกู้ชื่อเสียงของเอมิเน็มได้อีกครั้ง แร็พเปอร์แห่งเมืองแคนาดาซึ่งตอนนี้กลายเป็นแร็พเปอร์ระดับไอคอนประดับวงการเพลงไปแล้วอย่าง Drake ก็ปล่อยผลงาน Thank Me Later แจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม ในช่วงปลายปี 2010 มีแร็พเปอร์ซุปตาร์รายนึงโชว์เทพปล่อยผลงานระดับมาสเตอร์พีชส่งท้ายปีด้วย ซึ่งแร็พเปอร์รายนั้นก็คือ Kanye West นั่นเอง วันนี้ผมขอหยิบผลงานชิ้นเด็ดซึ่งเป็น Studio album ชุดที่ 5 ที่มีชื่อโคตรยาวว่า My Beautiful Dark Twisted Fantasy  มารีวิวเล่าสู่กันฟัง

ก่อนที่อัลบั้มนี้จะวางแผง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องปกอัลบั้มที่เป็นงานศิลป์ที่ ตา Yeezy ถือขวดเหล้า กำลังมีอะไรกับ สัตว์ประหลาดผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์มีปีก บนโซฟาสีฟ้า ว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่จะวางแผงขาย จนเกิดกระแสต่อต้านมากมายในภายหลัง จนต้องเปลี่ยนปกอีกหนึ่งเวอร์ชั่น ซึ่งเป็นภาพผู้หญิงสวมชุดดำถือแก้วแชมเปญตามภาพที่เห็น 

ขอบอกก่อนครับว่า เป็นอัลบั้มที่มีโปรดักชั่นแน่นคับแผ่น แถมอัลบั้มนี้ยังมียอดขายในระดับแพลทินั่ม และเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 2010 อีกด้วย แต่ละแทร็คนี่ยาวมาก แสดงให้เห็นถึงความครีเอทีฟอะไรใหม่ๆในงาน hiphop ของ คานเย ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่เป็น hiphop ที่เกลื่อนตลาดแน่นอน

ขอแปะคลิปหนังสั้นของคานเย ชื่อว่า Runaway บ่งบอก concept ของอัลบั้มนี้ได้อย่างครบถ้วนฮะ ภาพสวยมากแถมได้ทดลองฟังเพลงจากอัลบั้มนี้ด้วย คุ้มนะครึ่งชั่วโมงเอง อ่านรีวิวก่อนแล้วค่อยดูก็ได้ครับ




เริ่มด้วย Dark Fantasy  Intro เกริ่นนำด้วยการพูดที่ดูเหมือนเล่านิทานเหมือนนิยายแฟนตาซีทั่วไป และแอบบิดเสียงให้ดูตรงกับ concept  อัลบั้ม ซึ่งเป็นเสียงของ Nicki Minaj นั่นเอง ต่อด้วยท่อนฮุคที่เป็นการร้องประสานเสียงที่ทำออกมาได้ดีมากๆฮะ อลังการสุดๆ การแร็พที่ค่อนข้างลื่นไหลของ  Kanye West และ ท่อนแยกของ Bon Iver ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเพลงนี้เลย เป็นแทร็คเปิดที่ทำได้ดีและอลังการมากฮะ บ่งบอก concept ของอัลบั้มนี้ได้ดีฮะ ต่อด้วย Gorgeous  hip hop บวก ร็อค ความยาวเพลงเกือบ 6 นาที แต่ฟังได้เพลินๆ Kid Cudi ร้องฮุกนำ การแร็พที่เป็นจังหวะของ Raekwon  ปิดท้ายด้วยรีฟกีตาร์เท่ห์ๆ จบเพลงได้พีคและดีมากๆ



Power  Lead Single ที่โดดเด่นด้วยบีทมันส์ๆ พร้อมการแร็พที่มีพลังของ yeezy  ทำออกมาได้สมชื่อเพลงจริงๆ ที่บ่งบอกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ อหังการไปตามอีโก้คนแร็พ เอ็มวีก็ทำได้อลังการ ภาพสวยมาก แถมแรงด้วย ถ้าไม่ใช่คานเย ทำแบบนี้ไม่ได้ 



ส่วน Power เวอร์ชั่นรีมิกซ์ได้ Jay-Z และ Swizz Beatz มาร่วมแจม
เวอร์ชั่นนี้จะยาวเป็นพิเศษ แต่ท่อนสุดท้ายคานเยแร็พได้มันส์โคตร เป็นเพลงฮิพฮอพเวอร์ชั่นรีมิกซ์ที่ผมชื่นชอบมากที่สุดเลยล่ะครับ


All Of the Lights  เป็นซิงเกิ้ลที่ถูกปล่อยออกมาทางคลื่นวิทยุบ้านเรา ซึ่งผมก็ดีใจมากฮะ ฟังแล้วอยู่เหมือนในขบวนพาเหรดเลย ห่านร้องท่อนฮุคนำ และยังพาเหรดขนศิลปินรับเชิญเพียบ ทั้ง Alicia Keys, Charlie Wilson, Elly Jackson, Elton John, Fergie, John Legend, KiD CuDi, Rihanna, Ryan Leslie, The-Dream และ Drake  มาร้องนิดร้องหน่อย ช่วยประสานเสียงกันไป เรียกได้ว่า ยกขบวนเอาแขกรับเชิญระดับบิ๊กๆป็อบๆ มาไว้คับเพลงเลยที่เดียว ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากครับ ถ้าจะเอามาไว้ในเพลงเดียวถ้าเปิดเพลงนี้ตอนที่เดินทางนั่งชมแสงไฟในเมืองล่ะก็ ได้ฟินสุดๆ ตามชื่อเพลงเลย 5555 


Monster (ft. Jay-Z, Rick Ross, Nicki Minaj & Bon Iver) เป็นแทร็คจังหวะสนุกๆ ฟังแล้วนึกถึงเพลงชนเผ่า ที่มีบีทแรงๆเพิ่มเข้ามาด้วย การคุมเกมแร็พที่ทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายของ Yeezy และ Jay-Z  และที่เด็ดสุดก็คือ verse 3 ของ Nicki ที่แร็พได้อย่างมันส์ คล่องตัว ตามจังหวะได้ดี ไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว โดดเด่นกว่าฝ่ายชายด้วยซ้ำ ผมว่าเพลงนี้นิคกี้แร็พได้ดีที่สุดครับ แถมยังแอบจิกกัด Lil Kim อย่างเมามันส์ ก่อนจะปิดท้ายด้วย Outro ของ Bon Iver ฟังสนุก มันส์ดี  



So Appalled (ft. Jay-Z, Pusha T, CyHi Da Prynce, Swizz Beatz & RZA) แขกแร็พเชิญเยอะมว๊าก แร็พกันทีละท่อน ออกแนวโทนหม่นๆ สามารถบอกความเป็น hip hop ได้อย่างดี แร็พประชดประชัน เสียดสีตามประสาคนผิวดำ เพลงลากยาวถึง 6 นาทีกว่าที่ทำให้ผมไม่ค่อยเบื่อเลย กลับชอบด้วยซ้ำ พร้อมกับวลีติดหู 


Champagne wishes, 30 white bitches
I mean the shit is, fucking ridiculous Fucking ridiculous, I mean the shit is Fucking ridiculous 


วลีดังกล่าวดูเหมือนเสียดสีคนรวย ท่อนแร็พที่ผมชอบสุดคือ ท่อนของ Jay-z ฮะ แร็พที่ดุดัน สำผัสคำที่ทำได้ดีในแต่ละท่อน เป็นไฮไลท์ของเพลงนี้ไปเลย


Devil In A New Dress (ft. Rick Ross) เดินเบส เคล้ากับแซมเปิ้ลเพลง Will You Love Me Tomorrow ของ Smokey Robinson ที่เข้ากันได้ดีกับการแร็พที่ดูเหมือนจะพูดซะมากกว่าของ Yeezy และยังได้ตาอ้วนดำ Rick Ross มาแร็พให้ด้วยกลอนแร็พมันส์ๆ อีกเช่นเคย บวกกับโซโลกีตาร์เท่ๆ เป็นการปิดท้ายเพลง




มาถึงแทร็คที่ผมคิดว่าเด็ดดวงสุดๆอย่าง Runaway (ft. Pusha T)  ซิงเกิ้ลแรกที่ถูกปล่อยออกมาในบ้านเรา เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ และเข้าถึงได้ไม่ยาก intro ด้วยการเคาะเปียโนช้าๆ impact แรงๆ beat เน้นๆ ท่อนฮุคที่ค่อนข้างหนักแน่น ดูรู้เลยว่าเป็นเพลงอกหักแน่ๆ ประมาณว่า ก็ฉันมันเลวนี่ ดีแล้วที่เธอควรหนีออกไปจากฉัน เนื้อหาอาจจะดูธรรมดา หาฟังได้ตามเพลงฝรั่งหรือเพลงไทยทั่วไป แต่ Hilight เด็ดมันอยู่ที่ เสียง synthesizer ที่ทำให้ดูเหมือนว่ากำลังร้องไห้คร่ำครวญที่ลากยาวไปถึง 3 นาทีสุดท้าย ตอนแรกฟังแล้วรู้สึกรำคาญและก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะลากยาวไปถึงไหน เมื่อไหร่จะจบซะที แต่พอฟังไปนานๆ อ่อ ยังงี้นี้เอง ได้ฟิลลิ่งคนอกหักดีแต่ออกจะเวอร์ไปหน่อย 5555 เพลงนี้ยาวที่สุดในอัลบั้มแล้วล่ะ 9 นาทีกว่า

Hell Of A Life แทร็คสนุกๆ ที่ติดหูได้ไม่ยากมากอีกหนึ่งเพลง เพลงนี้พูดถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นกับแฟนเก่า Amber Rose ซึ่งตอนนี้ยังเป็นคู่กัดกับคานเยมาจนถึงทุกวันนี้ แอบหื่นนิดตามท้องเรื่อง ท่อน Outro ทำได้ดีเด็ดอีกเช่นเคย ครับ  




แทร็คนี้ก็เด็ดดวงอีกเช่นกัน Blame Game (ft. John Legend)  เปียโนเด่นมากครับเพลงนี้ ฟังแล้วผ่อนคลายดี ต้องขอยกความดีความชอบให้กับ John Legend ผู้ปราดเปรื่องเสียงร้องและเปียโน อีกเช่นเคย การแร็พที่เคล้ากะเสียงเปียโน กับไฮไลท์เด็ดอยู่ท่อนสอง ที่เป็นการแร็พผ่านโทรศัพท์ เป็นอะไรที่มีมิติซักเหลือเกิน ถ้าได้ฟังเพลงนี้ผ่านหูฟังดีๆ เหมือนมีคนมาพูดผ่านหูซ้ายหูขวา ตลอดเวลาสลับกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมให้คะแนนเต็ม พอฟังไปนานๆปุ๊ป ก็มีบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องบนเตียงล้วนๆ ติดเรทฮะ ประมาณว่า ใครสอนเธอมาเนี่ย เรื่องท่าทางบนเตียงทำไมเธอเก่งจัง เธอคนนั้นก็บอกว่า Yeezy สอนชั้นเองล่ะ ลากยาวประมาณ 2 นาทีกว่า วลีที่ว่า "Yeezy Thaught You Well" ได้กลายเป็นวลีสุดฮิตของคานเยมาจนถึงทุกวันนี้


Lost In The World  เป็นแทร็คปิดที่ฟังแล้วดูสว่างขึ้นมาทันที เหมือนหลงไปอยู่อีกโลกนึงของ yeezy หลังจากหลายเพลงที่ผ่านมา ดูมืดหม่นซะเยอะ ฟังแล้วเหมือนอยู่งาน carnival เลย ดนตรีบรรเลงและการประสานเสียง ขอยกให้ Bon Iver เค้าเก่งด้านนี้จริงๆ Yeezy อาจแร็พน้อยหน่อย แต่เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่จบได้สวย ก่อนที่จะมีการกล่าวสุนทรภจน์ในแทร็คต่อไปอย่าง Who Will Survive In America



เป็นอัลบั้ม hip hop ที่ดูไฮโซเอามากๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Yeezy เลยทีเดียว โดดเด่น มี detail เยอะมาก ถ้าฟังครั้งแรก ไม่ต้องแปลกใจครับว่าเป็นอัลบั้มที่ฟังยากมากครับ แต่ถ้าคุณได้ฟังหลายๆครั้ง กลับรู้สึกว่า เห้ยมันอลังการโคตรๆ สมคำล่ำลือ ไม่แปลกใจเลยว่า นี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของคานเย ส่วนเรื่องคำหยาบคายที่ดูเหมือนจะมีเยอะแต่ไม่เป็นปัญหาในเรื่องความไม่เสนาะหูแต่อย่างไร เพราะเรื่องของดนตรีออเคลสตร้าที่เอามา mix ได้อย่างลงตัว บวกกับ โปรดักชั่นระดับเทพ มันเป็นผลงานที่ยกระดับความเป็นฮิพฮอพไปอีกขั้นหนึ่งเลย แนะนำให้ฟังเต็มอัลบั้ม

การที่ได้ฟังอัลบั้มนี้ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้คูณเกรียนหลุดโลกแค่ไหน ถ้างานเพลงออกมาได้ดีขนาดนี้ แฟนเพลงก็จะศรัทธาในตัวคุณอย่างแน่นอน พร้อมที่จะติดตามงานของคุณต่อไป 

ฝีมือล้วนๆเท่านั้นถึงจะอยู่รอด


Top Tracks : อยากให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

Give  9.5/10



Thanks For Reading

See Ya

FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma