วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Review Album] Sucker-Charli XCX

ทำไมต้อง SUCKER





หลายๆคนในบอร์ดสยามโซนชอบบ่น ว่าทำไมผมไม่รีวิวไม่รีวิวอัลบั้มของศิลปินหญิงซะทีล่ะ  โอเค เราจัดไปกับรีวิวอัลบั้ม Sucker ของนักร้องสาวชาวอังกฤษ Charli XCX ก่อนหน้านี้เธอโด่งดังมากๆจากเพลงฟีทเจอริ่ง Fancy ของแร็พเปอร์ชาวออสซี่ Iggy Azealea กลายเป็นเพลงที่ทำให้เธอได้รับอานิสงค์โด่งดังไปทั่วโลก หลายๆคนก็สบประหม่าพอสมควรว่า เธอเกาะอิกกี้ดังรึไงเนี่ย ขอบอกเลยว่าไม่ ผลงานเดี่ยวของเธอก็มีเหมือนกันอย่างเพลง Boom Clap เพลงนี้นำไปเป็นเพลงประกอบหนังเรื่อง The Faults In Our Star อีกด้วย นี่ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า เธอก็มีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงและแต่งเพลงเหมือนกัน ไม่ต้องเกาะอิกกี้อีกต่อไป

สิ่งทำให้ผมสนใจสาวคนนี้คงเป็นเพราะเธอออกแนวแมนๆตรงไปตรงมา มาพร้อมกับแนวเพลงพังค์ ป็อบร็อค ผมยิ่งชอบใหญ่เลย ไม่ดูแอ๊บแบ๊วเกินไป ผมชอบนักร้องหญิงที่มาแนวนี้นะ ผมว่ามีเสน่ห์ดี ทางด้านอัลบั้ม Sucker ก็กวาดคำชมจากนักวิจารณ์หลากหลายสถาบัน แถมติดอันดับ 6 Best Albums Of 2014 ของRolling Stones อีกด้วย ผมยิ่งสนใจเธอเข้าไปใหญ่ผมได้ฟังผลงานของเธอโดยรวมแล้ว ผู้อ่านคิดเหมือนผมรึเปล่า ผมฟังอัลบั้มนี้ทีไรผมนึกถึง Gwen Stefani ทุกที คือเสียงเธอคล้ายมากๆจนแทบจะเป็นเงาเสียงได้เลย เพลงส่วนใหญ่ในชุดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงพังค์ยุค 80-90



ครึ่งแรกของอัลบั้มชุดนี้มีความเป็นสาวซ่า แก่นขบถอยู่พอสมควร ไล่ตั้งแต่แทร็ค Sucker Title Track จิกกัดโปรดิวเซอร์ Dr.Luke จอมประจบ เปิดอัลบั้มได้แร๊งส์สะใจสะท้อนความเป็นพังค์ร็อคได้เป็นอย่างดี Break The Rules ซิงเกิ้ลฮิตที่ติดชาร์ตของ Met 107 นานมากๆ ผมชอบเพลงนี้ตรงที่มันสร้างจุดพีคได้ดีมากๆ ซาวนด์ EDM ไม่โหล ให้ความรู้สึกลั้ลลา ตอกย้ำความเป็นสาวซ่ากันต่อด้วยเพลง London Queen เพลงจังหวะสนุกๆ อารมณ์เพลงทำให้ผมนึกถึงสาวๆกำลังเต้นบนรถอย่างสนุกสนาน



Breaking Up เพลงตัดพ้อหนุ่มซาวนด์โคตรเท่ ให้อารมณ์เหมือนฟังเพลงพังค์ยุค 80 วง The Runaway อย่างไงอย่างนั้นเลย แต่เสียดายสั้นไปนิดนึง mv เกรียนดี เบรคความมันส์ด้วยเพลงชิวๆด้วยเพลง Gold Coins 




Boom Clap เพลงนี้แหละที่ทำให้ผมชื่นชอบเธอ เป็นเพลงที่ติดหูฟังไม่เบื่อจนถึงทุกวันนี้ ถึงจะเป็นเพลงที่ฟิลกู๊ดก็จริง แต่เพลงแอบให้ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่เหมือนกัน ไม่แปลกใจที่เพลงนี้นำไปใช้ประกอบหนัง The Fault In Our Stars เพลงนี้ดังจนต้องทำ mv Tokyo Version เลยทีเดียว เซ็กซี่โคตรๆ

Doing It (Ft.Rita Ora) อีกหนึ่งซิงเกิ้ลที่กำลังฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง เพลงให้อารมณ์จี๊ดจ๊าด เปรี้ยวสุดๆ ความหมายก็ง่ายๆอยากทำอะไรก็ทำไป อิสระเต็มที่ ได้ Rita Ora มาเพิ่มความแซ่บ ผมเชื่อหนุ่มๆที่ได้ดู MV เพลงนี้ต้องน้ำลายหกอย่างแน่นอน Body of My Own ซาวนด์เปิดตัวลูกทุ่งแดนซ์พี่ไทยเอามากๆ ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนผมรึเปล่า ผมเห็นเพลงไทยหลายเพลงใช้ซาวนด์แบบนี้


Famous ซิงเกิ้ลล่าสุดจิกกัดคนมีชื่อเสียงที่ชอบทำอะไรโดยไม่เกรงใจคนอื่น MV ก็จิกกัดโลกโซเชียลแบบสุดๆเลย ผมเคยพูดถึง mv เพลงนี้ในเพจ ฟังไปฟังมา อยู่เหมือนกัน ชอบที่แนวคิด  Hanging Around ซาวนด์กีตาร์เท่มากๆ ท่อนฮุคก็ติดหู 

ส่วนครึ่งหลังของอัลบั้มเนื้อหาเพลงมีความจริงจัง และได้เห็นมุมมองที่อ่อนโยนของสาวคนนี้ เริ่มด้วยเพลงช้าสไตล์บัลลาด So Over You พูดถึงอดีตแฟนเก่าที่จะพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ Caught in the Middle กับ Need Your Love 2 เพลงนี้ทำให้เราได้เห็นมุมอ่อนโยนของเธอ กำลังตกหลุมรักใครบางคน ส่วนเพลงหลังจะให้อารมณ์แอ๊บแบ๊วสุดๆ  Die Tonight เธอออกมายอมรับผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เพลงนี้เธอแต่งตอนเธอกำลังเมา Red Balloon เพลงแถมนี่ก็แบ๊วต่อเนื่อง

ใครที่ชื่นชอบเพลงป็อบ ร็อค พังค์ สไตล์ Avril Lavinge , Gwen Stefani น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดตามราคาคุยของนิตยสาร Rolling Stone เพราะเพลงมันดูตลาดไปนิดนึง แต่อัลบั้มชุดนี้ให้ความเอ็นเตอร์เทนสุดๆ หนุ่มฟังได้ สาวฟังดี อย่างน้อยก็ยังมีดีในแบบที่ไม่ควรมองข้ามก็แล้วกัน นี่คงเป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการร้องและทักษะในการแต่งเพลงของเธอคนนี้


ไม่ SUCKER แน่นอน


Top Track : Break The Rules , Boom Clap , Breaking Up , Doin' It (Ft.Rita Ora) ,  Famous and Hanging Around

Give 8/10  (Girl Gone Wild)

Thanks For ReadingSee Ya


ตามไปเม้นท์กันต่อที่เฟสบุ๊ค ฟังไปฟังมา >>>> https://www.facebook.com/fungpaifungma



วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[จัดอันดับผลงานศิลปิน] The Worst To The Best Of Eminem

The Worst To The Best Of Eminem






บทความ Ranking Album จัดอันดับผลงานของศิลปินที่ผมชื่นชอบ อันเนื่องมาจากผมเป็นสาวกของศิลปินหลายท่าน วันนี้ศิลปินที่เปิดบทความแรกประจำเพจ Facebook และบล็อค "ฟังไปฟังมา" ของเราวันนี้เป็นแร็พเปอร์ผิวขาวขวัญใจชาวสยามอย่าง Eminem
Eminem ถือเป็นศิลปินแร็พที่สามารถดึงเพลงแร็พเข้าสู่กระแสหลักได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยคาแรคเตอร์ตลกร้าย ฝีปากการแร็พที่จัดจ้าน ฉลาดในการเล่นคำ ถ้าแร็พเปอร์คนไหนคิดจะเหน็บแนม Eminem ก็เตรียมจองศาลาได้เลย เพราะเค้าคนนี้จะสวนกลับแบบไม่ปราณีแน่นอน 

บทความนี้จะทำให้คุณได้รู้จักผลงานอัลบั้มและเพลงฮิตในอดีตของ Eminem มากขึ้น ไม่ใช่แค่ซิงเกิ้ลฮิตหรืออัลบั้มล่าสุด 


7.Encore (2004)




เป็นอัลบั้มที่แฟนเพลงหลายคนบ่นมากที่สุดรวมถึงผมด้วย เอมิเน็มไม่สามารถทำให้เรานั้นทนฟังตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้ายได้ มุกเก่าๆ การแร็พที่เนือยเอาการ รวมไปถึงการเหน็บแนมเซเลบที่ดูไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย Just Lost It มันเหมือนการกระทืบคนล้มอย่าง Michael Jackson ที่กำลังโดนคดีข่มขืนเด็กอายุ 13 แบบไม่แฟร์และไม่ขำด้วยเอาเสียเลย และเป็นการเหยียดผิวที่ผมรู้สึกไม่สนุกด้วย ซิงเกิ้ลที่ผมชอบน่าจะมีแค่ Mocking Bird กับ Like A Toy Soldier เท่านั้นแหละฮับ อัลบั้มนี้ผมฟังได้แค่บางเพลงเท่านั้น ไม่สามารถฟังได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เสียเวลาเปล่า

Top Track : Mocking Bird, Like A Toy Soldier & Encore



6.Relapse (2009)





ทิ้งช่วงจาก Encore นานถึง 5 ปีด้วยกัน หลังจากที่ติดยานอนหลับขั้นรุนแรงจนต้องเข้าสถานบำบัด เจอประสบการณ์แบบนี้แล้วก็ต้องมาแชร์กันหน่อยผ่านอัลบั้มชุดนี้ โอเคกว่าชุดที่แล้วแน่นอน ยังมีเพลงที่พอฟังได้มากกว่าชุดที่แล้ว ช่วงต้นอัลบั้มทำได้น่าสนใจพอสมควร ทั้งการแชร์ประสบการณ์สุดหลอนใน 3 a.m การทักทายแบบเชย์ดี้ๆใน Hello ยังไม่ทิ้งลายเรื่องจิกกัดเซเลปในซิงเกิ้ล We Made You , Bagpipe From Baghdad จิกกัดมารายห์คู่กัดเก่า Medicine Ball จิกกัดไม่เว้นแม้แต่คนตายอย่าง คริสโตเฟอร์ รีฟ   ช่วงครึ่งแรกทำได้น่าสนใจ ช่วงกลางๆกลับขาดความน่าสนใจ น่าเบื่อ ยืดๆ วกวนซ้ำเดิม ออกแนวเนือยๆ ส่วนแทร็คตั้งแต่ Deja Vu , Beautiful และ Crack A Bottle ทำได้น่าสนใจมากๆครับ โดยเฉพาะ Beautiful แร็พบัลลาดเท่ๆความหมายดี ผมยกให้เพลงนี้เจ๋งสุดในชุดนี้ฮับ แต่ท้ายที่สุดแล้วโดยรวมชุดนี้ยังไม่มีอะไรน่าจดจำถ้าเทียบกับชุดอื่น บีทยังไม่ลื่นหูเท่าที่ควร ฟังไม่เพลินทั้งอัลบั้ม เหมาะฟังแยกจริงๆ อัลบั้มนี้เลยไปไม่ถึง Top 5

Top Track : Beautiful , Crack A Bottle , 3 A.M & Bagpipe From Baghdad



5.Recovery (2010)




ภาคต่อของ Relapse ที่ทำได้ดีกว่าซะอีก เป็นการทวงบัลลังก์เจ้าพ่อเพลงแร็พได้อย่างเต็มภาคภูมิ โหมโรงอย่างยิ่งใหญ่ด้วยซิงเกิ้ล Not Afraid แสดงจุดยืนได้อย่างไม่เกรงกลัวใคร รวมถึงการหักหน้า Kanye West ในเพลง No Love แร็พดุดันชนิดที่แขกรับเชิญอย่าง Lil Wayne กลายเป็นขี้ไก่ไปเลย บอกรักฮิพฮอพและยอมอยู่กินกับเพลงฮิพฮอพในเพลง 25 To Life เอาใจPop Culture  สุดฤทธิ์รวมงานครั้งแรกกับสาวฮ็อตตัวแม่ Rihanna ใน Love The Way You Lie ทำเอาดังพลุแตกกันเลยทีเดียว ถือเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นป๋าเอ็มเราแต่งแร็พเกี่ยวกับด้านมืดของความรัก Space Bound บัลลาดแร็พที่อาลัยอาวรณ์ความรักที่ไม่สมหวัง รวมไปถึงการส่งสานส์ให้กับเพื่อนเก่าผู้ล่วงลับ Proof ใน You're Not Over อัลบั้มชุดนี้ได้เห็นด้านสว่างของเอมิเน็มมากที่สุดชุดนึง เนื้อหามีความสุขุมอยู่ในตัว ไม่ได้ด่าใครไปทั่ว ป็อบแร็พที่ฟังเพลินไม่น้อยก็จริง แต่ถ้าเทียบกับชุดอื่นชุดนี้ดูซอฟต์ เบื่อไวไปนิดนึง อยู่อันดับห้าถือว่าสมน้ำสมเนื้อ

Top Track : Not Afraid , Space Bound , No Love (Only Eminem's Verse) , 25 To Life , Talkin' 2 Myself


4.The Marshall Mathers LP 2 (2013)




ใครว่าศิลปินยิ่งแก่ คุณภาพของเพลงยิ่งแย่ลง แต่คงไม่ใช่สำหรับเฮียเอ็มแน่นอน ถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นอัลบั้มภาคต่อจาก MMLP ในภาคนี้เราจะได้เห็นชีวิตของเอมิเน็มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยมีข่าวฉาว ไม่อารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนเมื่อก่อน เลยทำให้ Marshall Mathers ในเวอร์ชั่นนี้ ดูmature มากขึ้น แร็พแบบผู้ใหญ่ๆเก๋าประสบการณ์ กลิ่นอายชุดนี้มันจึงเต็มไปด้วยความหลังต่างๆมากมาย ไม่ได้วนเวียนแค่MMLP อย่างเดียว และถึงแม้ว่า Dr.Dre จะมีส่วนร่วมน้อยมาก แต่ Rick Rubin เป็นอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์ที่ไว้ใจได้พอสมควร เค้าสามารถหยิบจุดแข็งเอมิเน็มมาผนวกในงานชุดนี้ได้อยู่หมัด โดยไม่ทำให้มาตรฐานของเอมิเน็มเสียไปมากนัก ไม่แน่ชุดหน้าเฮียเอ็มอาจเรียกใช้บริการ Rick Rubin ก็เป็นไปได้

ถือเป็นอัลบั้มที่มีสีสันอยู่ไม่น้อย ซาวนด์ฟังไม่น่าเบื่อ ดาร์กบ้าง ดิบเถื่อนบ้าง สดใสบ้างกำลังพอดี ไม่ได้เมนสตรีมจ๋า เล่นตามกระแสซะทีเดียว (ยกเว้น Monster) มันทำให้เรานั้นได้เห็นมุมมองของเอ็มในแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน  เนื่องด้วยสังขารขึ้นเลขสี่แล้ว การแร็พนั้นอาจจะไม่ฮาร์ดคอพลุ่งพล่านเท่าสมัยก่อน แต่เฮียเอ็มใช้พรสวรรค์ในการแร็พไปใช้ในทางที่ถูกที่ควรมากกว่า เช่น การทำให้เนื้อหาของเพลงนั้นมีคุณภาพ มันดเป็นการบ่นที่มีศิลปะ ไม่จิกกัดเค้าไปทั่ว แต่อยากให้แร็พเปอร์ใหม่ๆอนุรักษ์ความเป็นฮิพฮอพและอย่าลืมตัวเองมากกว่า อัลบั้มนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ว่าเฮียเอ็มยังครองตำแหน่ง King Of Rap ได้อยู่ 

Top Track : Bad Guy , Rap God , So Far... , Evil Twin , Legacy , Berzerk , Brainless



3.The Eminem Show (2002)




ปี 2002 นับว่าเป็นปีทองของเอมิเน็มอย่างแท้จริง เป็นจุดพีคสุดๆของเฮียเอ็มเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นจากหนังเรื่องแรกอย่าง 8 Mile ที่ฮิตแบบถล่มทลาย และอัลบั้มชุดนี้ก็สร้างสถิติใหม่ให้กับวงการเพลง ยอดขายเปิดตัวสัปดาห์แรกของชุดนี้พุ่งสูงถึง 1.3 ล้านก็อปปี้ ซึ่ง ณ ขณะนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิติได้ เป็นการตอกย้ำความสำเร็จในวงกว้างอีกครั้ง

เป็นงานเน้นฟังสนุกของแท้ เป็นอัลบั้มที่จิกกัดได้อย่างสนุกสนานมากที่สุดหนึ่งอัลบั้ม เสพง่ายที่สุดแล้ว ผมคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆกับความสนุกที่จัดเต็มตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้าย ซาวนด์ไม่น่าเบื่อ เราสามารถสนุกกับโชว์ของเอมิเน็มได้อย่างครื้นเครง มันไม่ได้มีเพียงแค่จิกกัดดาราเพียงอย่างเดียวแล้ว พัฒนาไปไกลถึงการเมืองระหว่างประเทศเลยทีเดียวในเพลง White America ฮารด์คอแร็พที่สะใจชาวอเมริกาอยู่ไม่น้อย ตอกย้ำความเป็น Slim Shady คนเดิมอย่าง Without Me ที่ได้กลายเป็นเพลงฮิตตลอดกาลลำดับต้นๆของเฮียเอ็มไปแล้ว ดราม่าเกี่ยวกับแม่ในเพลง Cleaning Out My Closet และมันทำให้ผมได้เห็นมุมของความเป็นพ่อที่มีทั้งซึ้งทั้งรั่วอย่าง Hailee's Song และ My Dad's Going Crazy อัลบั้มที่มีเพลงฮิตมากที่สุดก็คงจะเป็นชุดนี้แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเพลงฮิพฮอพหรือไม่ คุณก็สามารถสนุกได้โดยไม่ทำให้คุณภาพของเพลงฮิพฮอพต้องเสียไป


Top Track : Without Me ,Till I Collapse , Sing For The Moment , Business , Soldier , Square Dance , Cleaning Out My Closet


2.The Slim Shady LP (1999)




ถ้าคุณอยากรู้ที่มาของ Slim Shady คุณต้องฟังชุดนี้


อัลบั้มนี้เป็นการลบคำสบประหม่าจากอัลบั้มแรกอย่าง Infinite ที่ดันไปเหมือน Nas และ AZ เป็นอัลบั้มที่ทำให้เราได้รู้จักกับตัวตนสมมติอย่าง Slim Shady ที่เปรียบเสมือนตัวแทนด้านมืดของเอมิเน็มที่อยากระบายเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นมากมายในชีวิต ติดเหล้าติดยา อยู่ในบ้านรถตู้เก่าๆกับแม่ที่ติดยางอมแงมด้วย ปัญหาบ้านแตกสารพัดได้รวมอยู่ในชุดนี้หมดแล้ว แค่คำทักทายก็เป็น signature ที่ชัดเจนแล้วอย่าง  My Name มันทำให้เราได้รู้จัก Slim Shady สุดแสบ จอมก้าวร้าว เก็บกด ที่บ่นเกี่ยวกับแม่ติดยา เพลงนี้เพลงเดียวปุ้งงง! ดังเป็นพลุแตกเลย แถมเพลงนี้ยังติด Top 10 Best Rap Song Ever รวมถึงการฟ้องร้องคดีในชั้นศาลระหว่างแม่กับเฮียเอ็ม การ collab ร่วมกับ Dr.Dre ดูเหมือนจะสร้างความฮือฮาได้มากมายใน Guilty Conscience  นอกจากนี้ก็ยังมีซิงเกิ้ลตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Role Model การสร้างไอดอลแบบกวนๆ , 97' Bonnie & Clyde ตัวเพลงชิวมาก แต่ได้บรรยากาศหลอนๆแปลกๆ ไม่ชอบมาพากล ที่กำลังจะเอาศพใครบางคนทิ้งลงแม่น้ำ และยังมีเพลงอื่นๆอีกมากมายที่คุณฟัง

ไอเดียการสร้างตัวตนสมมติเป็นการนำเสนอที่ชาญฉลาดมากๆสำหรับผม มันสร้างสรรค์ และแตกต่างจากแร็พเปอร์เจ้าอื่นๆ มี Skit ฮาๆ การแร็พที่แพรวพราวสุดๆ มันสะท้อนความเป็นฮิพฮอพข้างถนนได้ดีมากๆ นี่แหละฮับคือสิ่งที่ผมยอมซูฮกกับความอัจฉริยะทางดนตรีฮิพฮอพ ที่ใครหลายคนต่างเมิน แต่เอมิเน็มนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ นี่คือจุดเริ่มต้นของแร็พเปอร์ผิวขาวแห่งเมืองดีทรอยที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการเพลง

Top Track : My Name Is , Guilty Conscience , Rock Bottom , Brain Damage , If I Had , Just Don't Give A F***



1.The Marshall Mathers LP (2000)




จะมีซักกี่อัลบั้มที่โหด มัน ฮา แสบสันได้เท่าชุดนี้ ดูเหมือนว่า ฮาร์ดคอแร็พครั้งนี้สร้างปรากฏการณ์ทั้งรักทั้งชังไปทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว มันไม่ได้มีแค่เรื่องส่วนตัวเพียงอย่างเดียว มันมีทั้งจิกกัดดารา แอนตี้เกย์ ไม่เว้นแม้แต่การใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง  เรียกได้ว่าใครที่ชอบก็สะใจสุดๆเลย ใครที่เกลียดก็ต่อต้านสุดฤทธิ์ก็คราวนี้แหละครับ ก่อให้เกิดเรื่องฉาวๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง Kill You ที่ถูกนักสิทธิสตรีฟ้องร้องมากมาย Stan ตัวละครสมมติของเอมิเน็ม ที่เป็นติ่งเอมิเน็ม ฆ่าตัวตายเพียงเพราะเฮียเอ็มไม่ตอบจดหมาย มันเป็นอะไรที่เสมือนจริงจนคนเกือบสับสนว่าเป็นเรื่องจริง 555 ด่ากราดสื่อที่มายุ่งกับชีวิตส่วนตัวในเพลง The Way I Am ในขณะเดียวกันทั้งโลกก็ยังมันส์ครื้นเครงไปกับแทร็คซิกเนเจอร์ The Real Slim Shady ความสนุกที่ทั้งโลกอดจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ มันเป็นเพลงแรกที่ทำให้รู้จักเฮียเอ็มด้วย หรือแม้แต่ Criminal ที่แสบร้ายได้อีก Amityvile , Remember Me และ B**** Please แกงส์เตอร์อย่างเห็นได้ชัด และยังมีเพลงอีกมากมายที่พร้อมจะกระตุ้นอะดรีนาลีนได้ทุกเมื่อ

จริงๆแล้วผู้เขียนก็ไม่นิยมความรุนแรงหรอกนะครับ แต่ที่ผมยอมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง ตรงที่เพลงมันถึงใจสุดแล้ว สไตล์การแร็พที่มีพัฒนาการมาก ดึงฟิลลิ่งโมโหโกรธาได้อย่างถึงพริกถึงขิง ฮาร์ดคอสุดๆ ตรงไปตรงมาแบบไม่มีกั๊ก โปรดักชั่นที่แหล่ม จุดแข็งเหล่านี้แหละที่ทำให้อัลบั้มนี้ชุดนี้ยังคงมีความขลังอยู่ในตัว ถึงเวลาจะผ่านไปนานแล้วเมื่อได้เปิดฟังอีกก็ยังรู้สึกสะใจไปกับการแร็พอันดุดัน ซาวนด์ก็ไม่ล้าสมัย จะว่าไปแล้วอัลบั้มที่คลาสสิค จนเป็นที่น่าจดจำจริงๆ ผมคงยกให้ชุดนี้คือที่สุดของเอมิเน็มแบบไม่ต้องคิดไรมาก

ไม่ขลังจริง คงไม่มีภาคต่อให้เราฟัง ว่าไม๊


Top Track : The Real Slim Shady , Stan , Kill You , Bitch Please II , Criminal , Amityvile , Remember Me , Marshall Mathers


เป็นไงกันบ้างกับการจัดอันดับครั้งนี้ อัลบั้มชุดไหนของเฮียเอ็มที่ถูกใจที่สุดหรือมีการสลับตำแหน่งไหนบ้างก็เมนท์แชร์ความเห็นได้อย่างเต็มที่ ส่วนศิลปินหรือวงดนตรีต่อไปจะเป็นใครก็อย่าลืมติดตามกัน
ส่วนรีวิวอัลบั้มปกติคงได้เดือนหน้า จะเป็นใครเดี๋ยวค่อยว่ากัน 


ไป comment กันต่อในเฟสบุ๊คของ ฟังไปฟังมาได้เลยครับ
>>>>>> https://www.facebook.com/fungpaifungma


Thanks For Reading
See Ya

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Review Album] X (Multiply) - Ed Sheeran

ทวีคูณสมชื่อ




Ed Sheeran กลับมาอีกครั้งกับ Studio Album ชุดที่ 2 ที่มีชื่อว่า X (Multiply) ซึ่งชื่ออัลบั้มบัคเอ็ดก็ยังคงชอบคณิตศาสตร์อีกเช่นเคย หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงามในอัลบั้มชุดแรกอย่าง + (plus) ที่มีซิงเกิ้ลฮิตมากมาย ทั้ง The A Team (เพลงที่ผมโปรดปรานมากที่สุด) , Lego House , Drunk และ Small Bump และยังถูกเสนอเข้าชิงแกรมมี่ถึง 4 สาขาด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอสำหรับการการันตีความสำเร็จของหนุ่มหัวส้มคนนี้ได้ ส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนยังรู้สึกเฉยๆกับอัลบั้ม + เพราะมันออกแนวง่วงไปหน่อย แต่เนื้อหาของเพลงมีความหมายที่ดีอยู่หลายๆเพลง ผมจึงขอให้คะแนนด้านความพยายามก็แล้วกัน สำหรับชุดที่ 2 นี้ ยังคงความเป็น pop acoustic เจือด้วย rap hip hop นิดๆ และเพิ่มแนว Neo-Soul เข้ามาเพื่อให้เพลงดูมีความหลากหลายมากขึ้น




ชุดนี้ปรับปรุงให้ดีขึ้นจากชุดก่อนมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยล่ะครับ โดยเฉพาะด้านโปรดักชั่น ดนตรี การบันทึกเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ทำให้ตัวเพลงฟังดูสนุกขึ้น เพลินขึ้น ส่วนโปรดิวเซอร์ก็จัดระดับเมพๆมาทั้งน้าน Pharrell Williams , Gary Lightbody จาก Snow Patrol รวมถึง Rick Rubin อีกด้วย เห็นชื่อแล้วรับประกันความเจ๋งแน่นอน ส่วนด้านยอดขายก็ไปได้สวย ทำยอดได้อย่างรวดเร็วในราชอาณาจักร 180,000 copies ภายใน 1 สัปดาห์ ทำลายสถิติแชมป์เก่าอย่าง Ghost Stories ของ Coldplay เป็นที่เรียบร้อย และสามารถทำอันดับ 1 บน Billboard 200 และถูกเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาใหญ่ อัลบั้มแห่งปีอีกด้วย


เนื้อหาส่วนใหญ่ในอัลบั้มชุดนี้ว่าด้วยเรื่องประสบการณ์โดยตรงของบัคเอ็ดในเรื่องความรัก อกหักรักคุด การสูญเสียความรัก เลยทำให้เพลงทุกเพลงถ่ายทอดออกมาได้อย่างหนักแน่น ลึกซึ้งกินใจแทบจะทุกแทร็คแน่นอน



เปิดอัลบั้มด้วยเพลงอคลูสติกช้าๆ โรแมนติกสุดๆ อย่าง One ชื่อแปลว่าหนึ่งเดียว ก็เอามาเป็นเพลงลำดับที่หนึ่งซะเลย ต่อด้วยเพลงช้าอีกหนึ่งเพลง แต่เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นในเพลง I'm a Mess เป็นสองเพลงเปิดอัลบั้มที่ผมว่ามันดูไม่ดึงดูดเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ฟังไปซะพัก ก็ทำได้ไม่เลว





Sing ซิงเกิ้ลแรกเปิดตัวอัลบั้มชุดนี้ อำนวยการผลิตและร่วมแต่งโดย Pharrell Williams เป็นเพลงที่สนุกและคึกครื้นที่สุดในอัลบั้มชุดนี้แล้วล่ะครับ เป็นเพลงที่แตกต่างไปจากสไตล์เดิมๆของเอ็ดมากเลยทีเดียว ท่อนฮุคติดหูมาก มีเสน่ห์และเท่ห์ไปในตัว ยิ่งฟังยิ่งชอบ (ขอให้เอ็ดออกโปรเจกต์ร่วมกับฟาเรลด้วยเถอะ สาธุ)



Don't เพลงจังหวะกลางๆ โปรดิวซ์โดย Rick Rubin ที่ฟังแล้วสนุกไปอีกแบบ สนุกไปกับการร้องแบบกลอนของเอ็ด ตัวเพลงฟังได้เพลินมากครับ มันลงตัวสุดๆ ไม่รู้ว่าบัคเอ็ดแต่งเพลงนี้ประชดสาว Ellie Goulding อดีตคู่เดทรึเปล่า ที่ดันไปนอกใจแอบไปกิ๊กกั๊กกับหนุ่มอื่นด้วย

ต่อด้วย Nina เพลงแนวอกหักที่ทำได้โดดเด่นไม่แพ้เพลงอื่นๆ เปียโนเพลงนี้เด่นอยู่เหมือนกัน โดยชื่อ Nina ก็มีตัวตนอยู่จริงครับ เป็นสาวที่บัคเอ็ดเคยคบด้วย ซึ่งเป็นศิลปินเหมือนกัน แต่ด้วยเอ็ดทุ่มเทให้กับการทำเพลง ร้องเพลง เป็นศิลปินมากกว่า ไม่น่าจะมีเวลาให้กับความรัก ถ้าประคับคองความสัมพันธ์ไว้ แน่นอนว่ามันน่าจะแย่กว่าเดิมแน่นอน ทำในสิ่งที่เธอรักน่าจะดีกว่า ท่อนแยกน่าจะบอกอะไรได้ดีที่สุดแล้ว โอ้โหใครๆก็ไม่อยากเจอโมเม้นนี้แน่นอน เป็นอะไรที่เลือกไม่ถูกจริงๆ มัน Hurt มาก




เบรคอารมณ์เฮิร์ทด้วยเพลงที่เป็นตัวแทนแห่งความคิดถึง Photograph เพลงนี้ช้าๆซึ้งๆ มีความหนักแน่นมั่นคงซะเหลือเกิน ฟังแล้วอยากจะหยิบรูปคนที่เราคิดถึงมาดูแก้เหงา 
Bloodstream เพลงนี้เนื้อหาติดเรท 20+ เพราะพี่แกเขียนถึงประสบการณ์ลองพี้ยา MDMA ในงานแต่งงานของเพื่อน (เห็นยาเป็นของชำร่วยไปได้ อย่าทำตามนะครับ!!!!! กีตาร์เดินคอร์ดได้ไหลลื่นมากๆ คอรัสในช่วงท้ายๆของเพลงนี้เป็นอะไรที่บีบอารมณ์สุดๆ  ในเวอร์ชั่นซิงเกิ้ลจะเป็นเวอร์ชั่น Remix ได้ Rudimental มาเพิ่มความมันส์ ดุดัน

Tenerife Sea ผลงานการโปรดิวซ์เซอร์โดยRick Rubin และ Rudimental โมโลดี้สวยงามเอามากๆ เอ็ดร้องได้เพราะจับใจ เหมือนได้พบรักใหม่ที่งดงามเหมือนเกาะ Tenerife ในประเทศสเปน


Runaway เพิ่มสีสันให้กับอัลบั้มชุดนี้ได้เป็นอย่างดี neo-soul กรูฟเท่ๆอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของ Pharrell Williams โปรดิวซ์เซอร์เพลงนี้  เฮียฟาเรลมีส่วนช่วยเพิ่มสีสันให้กับอัลบั้มชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีเพลงไหนฟังสนุกเท่า เพลงนี้กับ Sing แล้วล่ะครับ
The Man เพลงนี้สไตล์ดาร์ก มาแร็พแบบเต็มๆ ไม่ต้องอาศัยบีทที่ซับซ้อน กีตาร์ไฟฟ้าเพียวๆ ก็เท่ได้ไม่แพ้แร็พเปอร์คนอื่นๆ น่าจะเป็นการตัดพ้อสาวส่งท้ายสำหรับอัลบั้มชุดนี้





2 แทร็คสุดท้าย ผมยกให้เป็นทีเด็ดของอัลบั้มชุดนี้ไปเลยครับ Thinking Out Loud เพลงบอกรักที่โรแมนติกโคตรๆ เปียโนช่วยเสริมความไพเราะได้เยอะมาก ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลและอ่อนโยน ส่วนเอ็ดนั้นก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมาก เหมือนร้องจากใจ  ในที่สุดเพลงนี้ก็กลายเป็นซิงเกิ้ลฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง


Afire Love อีกหนึ่งเพลงเศร้าที่ซึ้งกินใจสุดๆ เป็นเพลงที่แต่งเพื่อระลึกให้กับปู่ของเขาที่จากไปด้วยโรคอัลไซเมอร์เมื่อตอนเขา 6 ขวบ (ความจำนายดีมาก) ท่อนฮุคเพลงนี้มันมีความพิเศษมากๆ ได้มาจากเพลงที่ปู่ของเขาแต่งบอกรักย่าของเอ็ดตอนพวกเขายังเป็นหนุ่มสาวด้วย (โคตรจะลึกซึ้ง) ต้องขอชื่นชมในตัวเอ็ดจริงๆ ที่ทำให้ความทรงจำเหล่านี้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง และท่อนที่มีการส่งสานส์ถึงพระเจ้าฮาเลลูย่า เป็นท่อนที่ผมซึ้งที่สุดแล้ว มันบิวส์อารมณ์อาลัยอาวรณ์ได้สุดๆเลย นับว่าเป็นแทร็คปิดที่จบแบบซึ้งเศร้าเคล้าน้ำตาที่บัคเอ็ดทำได้ยอดเยี่ยมสุดๆ ยกนิ้วให้

ส่วนเพลงแถมนั้น ก็มีบางเพลงที่เพราะอยู่เหมือนกันทั้ง Even My Dad Does Sometimes เพลงฟังสบายๆเคล้าด้วยเสียงเปียโนเพราะ เนื้อหาซึ้งๆ ,  I See Fire (ost. The Hobbit 2) ออกแนวคันทรี่ โฟล์ก แต่ทรงพลัง และ All Of The Stars (Ost. The Fault In Our Stars) ถ่ายทอดออกมาได้ซึ้งกินใจซะเหลือเกิน ไม่เสียแรงเปล่าที่รับเชิญให้ร้องเพลงประกอบหนังเรื่องนี้




อัลบั้ม คูณ ชุดนี้ทำออกมาได้ดีเกินคาด เนิ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ตัวเพลงมีความหลากหลายมากขึ้น มีความสุขุมนุ่มลึก Deep ขี้เล่น สนุก เศร้า เข้มข้น รวมไว้ในอัลบั้มชุดนี้ เป็นการลดคำสบประมาทที่ว่า "อัลบั้มชุดที่ 2 มักจะแย่กว่าชุดแรก" ได้เป็นอย่างดี เอ็ดโชว์ศักยภาพออกมาได้เต็มที่ One Man Show สามารถดึงคนฟังได้อยู่หมัด เพลิดเพลินตลอดทั้งอัลบั้ม นับว่าไอ้หนุ่มคนนี้มีกึ๋นในการทำเพลงจริงๆ ส่วนตัวผมชอบทุกเพลงนะครับ ไม่แปลกใจที่เพลงในอัลบั้มชุดนี้ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลเกิน 5 เพลง

ขอแสดงความยินดีกับ Ed Sheeran ด้วย นายได้ไปต่อ


Top 5 (In My Opinion) : 1) Afire Love  2) Thinking Out Loud  3) Sing  4) Don't  5) Nina  ^__^
Give (9/10)   Greater & Stronger[/color][/b]

Thanks For reading
See Ya


[Review Album] To Pimp A Butterfly-Kendrick Lamar รีวิวเดียวจบ

ผีเสื้อ=สัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น





Title : To Pimp A ButterflyArtist : Kendrick LamarGenre: Hip-Hop Release Date : 15 March 2015Executive Producer : Dr.Dre , Antony "Top Dawg " Tiffith


Kendrick Lamar แร็พเปอร์จากเมือง Compton ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ ต้องยอมรับเลยว่า อัลบั้ม 2 ชุดที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น Section .80 และ good kid m.A.A.d City ตั้งมาตรฐานไว้สูงมาก สิ่งที่ทำให้ผลงานเพลงของ Kendrick เป็นที่น่าจดจำ นอกจากการแร็พที่ไหลเป็นน้ำและดุดัน นั่นก็คือ การวางคอนเซปต์และเล่าสตอรี่ที่น่าสนใจ สตอรี่ที่เคนดริกพยายามเล่าให้เราฟัง ล้วนเป็นเรื่องจริงแทบทั้งสิ้น ความดังของเคนดริก ลามาร์ ก็ได้ถูกเชื้อเชิญให้ไปเป็นแขกรับเชิญ featuring ไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น Love Game - Eminem , Give It 2 U - Robin Thicke , Radioactive (remix) - Imagine Dragon และล่าสุด Bad Blood (Remix) - Taylor Swift ดูเหมือนว่าเพลงหลังเคนดริกจะเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกมากขึ้น

อัลบั้มชุดแรก Section.80 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเคนดริก การนำผู้ฟังไปสู่สังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุมากมาย ทั้งยาเสพติด เซกส์และความรุนแรง ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยุค 80 ตัวเพลงค่อนข้างแปลกแหวกแนว ออกแนวอัลเทอเนทีพฮิพฮอพ ฟังไม่น่าเบื่อดีครับ


ส่วน GKMC คอนเซปต์ทำออกมาได้น่าติดตามมากๆ สะท้อนความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนของเมืองที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดอย่าง Compton ผ่านการเล่าเรื่องผ่านประสบการณ์ในสมัยวัยรุ่น ขโมยรถแวนของแม่ไปขับเล่น เพื่อที่จะไปซั่มสาวรายนึง แต่ภารกิจก็ดันสะดุดเมื่อเคนดริกไปเจอพวกเพื่อนๆเสียก่อน พาลพาไปทำอะไรที่เลยเถิดจนเกิดเรื่องบานปลาย นำมาซึ่งจุดจบอันน่าเศร้า GKMC จึงเป็นอัลบั้มที่ให้อะไรที่มากกว่าความเอนเตอร์เทน มันเป็นการนำเอากลิ่นอายความเป็น west coast hip hopกลับคืนมาด้วย   GKMC จึงเป็นอัลบั้มฮิพฮอพที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องของการเล่า Story และดนตรี  อัลบั้มชุดนี้เคนดริกเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายทะลุล้านก็อปปี้ แต่กลับไม่มีแกรมมี่ติดไม้ติดมือซักรางวัล (เลือกปฏิบัติรึเปล่าเนี่ย)

จึงเป็นอะไรที่น่ากดดันมากพอสมควรสำหรับตัว Kendrick ที่จะต้องทำอัลบั้มชุดที่3 ให้ออกมาได้ดีกว่าหรือเท่ากับมาตรฐานที่ได้ตั้งไว้ใน2ชุดแรก สำหรับชุดที่ 3 To Pimp A Butterfly มีความแตกต่างจาก2ชุดแรกอยู่พอสมควรเลยล่ะ โดยเฉพาะภาคดนตรีไม่ได้เน้น gangsta hiphop จ๋าๆ ไม่ให้อารมณ์พลุ่งพล่านแบบ 2 ชุดก่อน แต่จะเน้นไปในทาง Hiphop ที่ผสมความเป็น Jazz Soul Neo-Soul Reggae เข้าถึงความเป็น Black Music มากขึ้น โดยรวมแล้วดนตรีพัฒนานะครับ เพิ่มความซับซ้อนให้ฟังยากบ้างง่ายบ้าง ส่วนเนื้อหาของเพลงพัฒนาไปในทางที่เป็นเพื่อชีวิตมากขึ้น จริงจัง หนักแน่น จิกกัดการเมืองและวงการเพลงอยู่พอสมควร ที่สำคัญเนื้อหาในแต่ละเพลงมีdetails ซ่อนอยู่มากมายเลยล่ะครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฟังครั้งแรกแล้วไม่เก็ท เพราะชุดนี้ฟังยากกว่าชุดที่แล้วอย่างแน่นอน




ทันทีที่แทร็คแรกอย่าง Wesley's Theory เปิดขึ้นมา เราจะได้ยินประโยค every nigger is a star ทิ้งไว้เป็นประโยคนัยสำคัญให้ได้คิดกันต่อ จากนั้น Jazz ก็ฟุ้งเข้าหูเลยล่ะครับท่าน  จังหวะกำลังดี ฟังแล้วรื่นหู  คลอด้วยเสียงของนักร้องรุ่นเดอะ Geoge Clington  เป็นเพลงเปิดที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยที่มาของชื่อเพลงมาจากนักแสดงผิวสีอย่าง Wesley Snipes ที่โดนจับในข้อหาหนีภาษี น่าจะเป็นเพลงที่จิกกัดระบบการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลโดยอ้อมนะครับ ประมาณว่าศิลปินผิวสีโดนเอาเปรียบจากสังคมยังไม่พอ โดนชาร์จภาษีภาษีที่สูงเกินอีก เพลงนี้ได้ Flying Lotus มาproduce ให้


ต่อจากนั้นก็ต่อด้วย For Free? (interlude) ตอนผมฟังครั้งแรกก็อุทานเลยว่า อะไรของมันว่ะ ดนตรีออกแนวยั้วเยี้ยมากๆ แร็พก็ออกแนวประชดประชันเกิ๊น ฟังครั้งแรกแทบไม่เก็ทเลย ตอพอฟัง2-3ครั้งก็เอ่อเริ่มเก็ทล่ะ ประมาณว่าเคนดริกเริ่มหลงรักวงการบันเทิงแล้วล่ะครับ เพลงสั้นๆเสียดสีเย้ยหยันได้อย่างมีสีสันดีครับ ตอนที่เคนดริกเปิดโอกาสให้แฟนเพลงได้ Q&A ผ่านทางทวิตเตอร์ มีแฟนเพลงถามว่าเพลงไหนในอัลบั้มชุดนี้ที่เคนดริกชอบมากที่สุด เคนดริกตอบว่า For Free ? แทร็คนี้แหละ





King Kunta  แร็พสไตล์ฟังก์จังหวะชวนโยกโคตร ๆผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะชอบเพลงนี้อยู่ไม่น้อย ไม่แปลกใจที่เพลงนี้ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล เนื้อหาตัดพ้อเพื่อนที่ทรยศ อิจฉาริษยา ถามหามิตรภาพที่แท้จริง


I remember you was conflicted, misusing your influence. Sometimes, I did the same


Institutionalized และ These Wall เป็นเพลงคู่ขนานกันครับ โดยเพลงแรกพูดถึงอำนาจของเงินตรา เพลงถัดมาก็เป็นเรื่องผู้หญิง การที่เคนดริกนั้นเริ่มมีชื่อเสียง 2 สิ่งนี้จะตามมาครับ หลงระเริงจนโดนมอมเมาจนแทบโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว


Institutionalized เพลงไหลลื่นมาก ได้ Snoop Dogg มาร่วมแจมด้วย ป๋านูบแร็พมีเสน่ห์มากๆ ส่วน These Wall หวาบหวามใช้ได้ เปลี่ยนโทนดาร์กในช่วงท้าย ดูดีมีมิติ


Abusing my power full of resentment
Resentment that turned into a deep depression
Found myself screaming in a hotel room


Kendrick ได้เพิ่มระดับความยากด้วยเพลง u เพลงที่รวมของเด็ดไว้เพียบไม่ว่าจะเป็นแร็พแบบดิบๆ องค์ประกอบดนตรีที่ซับซ้อนสุดๆ โทนเพลงที่ดาร์กสร้างความอึดอัดสับสนให้กับคนฟังไม่น้อย ยังดีที่ช่วงครึ่งหลังของเพลงลดความอึดอัดได้บ้าง แร็พแบบเมาๆคลอด้วยดนตรีแจ๊ส kendrick เคยให้สัมภาษณ์ว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่ยากที่สุดเท่าที่เคยทำมา โดยเนื้อหาตัดพ้อตัวเองที่หลงระเริงกับชื่อเสียง เงินทอง และเซกส์ จนรู้สึกท้อแท้ที่ไม่สามารถเป็นพี่ชายที่ดีให้กับน้องสาวได้ ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเธอตั้งท้องกับใครไม่รู้ ดั่งท่อนที่ว่า

Situation had stopped with your little sister bakin'
A baby inside, just a teenager, where your patience?
Where was your antennas, where was the influence you speak of?
You preached in front of 100,000 but never reached her

 ฟังยากแต่เด็ดดวงของแท้



Alright แทร็คนี้ปลอบโยนความหนักหน่วงจากเพลงที่แล้วได้เป็นอย่างดี จังหวะ Neo-Soul ท่อนฮุกติดหูบวกกับกรูฟเท่ๆอันเป็นเอกลักษณ์ของ Pharrell Williams ช่วยให้เพลงไหลลื่นและลงตัว
ผมเชื่อว่าหลายคนต้องชื่นชอบเพลงนี้ (ได้ข่าวว่าเพลงนี้เริ่มถ่ายเอ็มวีแล้ว)


I didn't wanna self destruct
The evils of Lucy was all around me
So I went runnin' for answers




For Sale? Interlude อีกต่อนึงที่ดูเหมือนเป็นเพลงมากกว่า เพลงให้อารมณ์เรื่อยๆ ล่องลอย ชิวๆ ดูเหมือนว่าเคนดริกเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ (#ดึงสติกันหน่อยนะ คงจะเหมาะกับคำนิยามของเพลงนี้ เฮ้อ เฮ้อ) ดูเหมือนว่าเคนดริกเริ่มมองวงการเพลงต่างไปจากเดิมแล้วล่ะครับ


Until I came home


ดูเหมือนว่า part นี้เคนดริกกำลังหาทางสงบสติด้วยการกลับบ้าน กลับไปหาคนที่คุ้นเคยตามชื่อเพลง Momma แร็พสไตล์อาร์แอนด์บีฟังได้เรื่อยๆแล้วตบท้ายด้วยแร็พอันสนุกสนาน ถัดไปโทนเพลงเปลี่ยนไปในทางดาร์กขึ้นใน Hood Politics เนื้อหาจิกกัดการเมืองและวงการเพลงแร็พ


But that didn't stop survivor's guilt
Going back and forth
Trying to convince my self the stripes I earned
Or maybe how A-1 my foundation was
But while my loved ones was fighting
A continuous war back in the city
I was entering a new one




พาร์ทนี้ได้หยิบยกประเด็นเรื่อง เงิน เชื้อชาติ และความรุนแรง เริ่มจาก How Much A Dollar Cost แร็พกลิ่นอาย Jazz-soul มีความหนักแน่นมากๆ ได้ James Fauntleroy มาร้องฮุกแจมเคลิ้มได้อีก Complexion (Zulu Love) พูดถึงประเด็นที่สบายๆเกี่ยวกับความรักที่ไม่แบ่งแยกเรื่องสีผิว ได้ Rapsody แร็พปิดท้าย




The Blacker The Berry ซิงเกิ้ลที่สองเพลงโทนดาร์กส่งท้ายอัลบั้มชุดนี้ เคนดริกโยนประเด็นเรื่องอคติและการกระทำความรุนแรงที่มีต่อคนผิวสีที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้อย่างถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว ต่อด้วย You Ain't Gotta Lie แก้เลี่ยนซักนิด ฟังดูแล้วอาจไม่มีนัยสำคัญอะไรมาก แต่ฟังได้เรื่อยๆ ปล่อยผ่านไปไม่ได้อยู่ดี




i  ซิงเกิ้ลแรกที่ฟังง่ายมากที่สุดแล้วในอัลบั้มชุดนี้ ตอนที่ปล่อยเพลงนี้ออกมาครั้งแรก ผมเองก็แอบเสียวเหมือนกันครับว่า เคนดริกจะเข้าสู่เมนสตรีม ทำเพลงแร็พตลาดๆแล้วรึเนี่ย เพลงดูเป็นมิตรกับวิทยุมากๆ แต่เคนดริกก็แก้ขัดได้ด้วยการทำเป็นอัลบั้มเวอร์ชั่น ที่เป็นการร้องสดสลับกับ skit ตอนท้ายที่เคนดริกกำลังห้ามคนตีกัน เพราะเรื่องที่งี่เง่ากระทบกระทั่งนิดๆหน่อยๆ โดยเคนดริก แร็พ acapella N-E-G-U-S เป็นการปิดท้ายให้ทุกคนนั้นได้หยุดทะเลาะกันเสียที เพื่อไม่ให้สูญเสียพี่น้องชาวผิวสีไปมากกว่านี้ 

(ขออธิบายคำว่า Negus นิดนึง มันเป็นภาษาเอทิโอเปียที่แปลว่า Black King)

ข้าพเจ้ารู้สึกชอบ i ในเวอร์ชั่นนี้อยู่ไม่น้อย นอกจากจะครื้นเครงแล้ว มันเป็นแทร็คที่มาเติมเต็มความรู้สึกรักตัวเองได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เคนดริกใส่ความเนื้อน้อยต่ำใจไว้ซะเยอะในหลายๆแทร็คที่ผ่านมา


ปิดท้ายด้วยแทร็คยาว 12นาทีอย่าง Mortal Man ที่ถามหาความซื่อสัตย์ของแฟนเพลงที่มีต่อเขาดั่งท่อนฮุกที่ว่า When shit hit the fan, is you still a fan? และเชิดชูสรรเสริญผู้นำทางการเมืองอย่าง Nelson Mandela , Martin Luther King Jr. และ Malcolm X


A war that was based on apartheid and discrimination
Made me wanna go back to the city and tell the homies what I learned
The word was respect
Just because you wore a different gang colour than mine's
Doesn’t mean I can’t respect you as a black man
Forgetting all the pain and hurt we caused each other in these streets
If I respect you, we unify and stop the enemy from killing us
But I don’t know, I’m no mortal man, maybe I’m just another nigga




หลังจากต่อกลอนจบแล้ว เคนดริกก็ได้ชุบชีวิตราชาเพลงแร็พ 2Pac ขึ้นมาอีกครั้ง นับว่าเป็นการสร้างความท้าทายให้กับสาวกเดนตาย 2Pac อย่างแรง ที่มาของเสียง 2Pac มาจากบทสัมภาษณ์ในปี 1994 ในรายการวิทยุ Swedish radio show P3 Soul ซึ่งเสมือนว่า เคนดริกกำลังพูดคุยกับ 2Pacในนิมิตแห่งความฝันอยู่ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับเทคนิค Hologram ที่ใช้ในคอนเสิร์ตรวมดาวฮิพฮอพ Dr.Dre Snoop Dogg ที่เคยชุบชีวิต 2Pacให้มาอยู่ร่วมเวทีมาแล้ว


ข้าพเจ้าเองก็ได้สืบทราบที่มาของชื่ออัลบั้มดั้งเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น TPAB อย่าง Tu Pimp A Caterpillar ซึ่งมีนัยยะว่า TUPAC นั่นเอง


การเดินทางตลอด 79 นาทีก็ได้สิ้นสุดเสียที มาถึงการสรุปภาพรวมของอัลบั้มเสียทีอัลบั้ม To Pimp A Butterfly ชุดนี้ภาคดนตรีก็ดาร์กแบบไม่เลี่ยนจนเกินไป ฮิพฮอพแจ๊สเคล้ากับโซลได้อย่างลงตัว  มีการจัดเรียงแทร็คได้อย่างลงตัวมากๆ ทุกๆเพลงนั้นมี hint ทิ้งไว้เกือบทุกเพลงผ่าน กลอนของเคนดริกที่พูดกรอกหูปิดท้ายแทบจะทุกเพลง ตอนแรกผมก็รำคาญนะแต่กลอนนี้ใส่ hint บ่งบอกทิศทางของคอนเซปต์ในเพลงถัดไปนั่นเอง มันทำให้เราได้เห็น self development ทางความคิดของตัวศิลปินแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ผ่านบทเรียนที่เรียกว่า ประสบการณ์ของชีวิต ว้าว ! อัจฉริยะโคตรๆใส่ใจทุกรายละเอียดทั้งภาคเนื้อหาและภาคดนตรีจริงๆ จุดนี้ทำให้อัลบั้มชุดนี้มีความเป็นเอกภาพสูง นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมชอบผลงานชุดนี้โคตรๆ  อัลบั้มชุดนี้จึงเป็นอัลบั้มที่ฟังแบบผ่านๆไม่ได้เลยล่ะครับ เพราะท่านเองอาจจะไม่เก็ทเลยว่า อัลบั้มชุดนี้มันมีดีอย่างไร ตัวศิลปินต้องการจะสื่อสารอะไรให้กับคนฟังกันแน่ คุณต้องฟังตั้งแต่ต้นจนจบทั้งอัลบั้มครับ 

แต่มันคงไม่เหมาะแน่ถ้าคุณจะฟังอัลบั้มชุดนี้เพื่อความผ่อนคลาย อันนี้ต้องบอกกันตรงๆ เพราะเนื้อหาค่อนข้างดาร์กและหนักหน่วงเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ต้องเห็นใจในตัวเคนดริกอยู่เหมือนกันครับ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆในชีวิตมาเยอะ สังคมเมือง compton บ้านเกิดของเคนดริก อย่างที่รู้ๆกันว่าย่ำแย่ขนาดไหน พอเข้ามาในวงการบันเทิงแล้วก็ต้องรับมือกับอคติในเรื่องสีผิว ด้านมืดของชื่อเสียงอีก มันก็ต้องระบายผ่านเพลงเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคุณเข้าใจก็เยี่ยมเลยครับ คุณได้ฟังอัลบั้มฮิพฮอพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนุ่มคนนี้แล้ว




บอกสรรพคุณมาหมดแล้ว หลายคนอาจจะงงว่าทำไมเคนดริกต้องเปรียบเปรยกับผีเสื้อด้วยล่ะ ? อันนี้ผมขอตีความเองนะครับ ก่อนที่จะมาเป็นผีเสื้อที่สวยงามต้องผ่านภัยอันตรายเยอะ ก็ต้องเป็นไข่ หนอนผีเสื้อ ดักแด้ และแตกออกมาเป็นผีเสื้อ ในระยะที่เป็นหนอนผีเสื้อ มันคือศัตรูสำคัญของพืช เพราะมันกินเกือบตลอดเวลา ไม่ต่างอะไรไปจากคนที่กำลังมีชื่อเสียงที่อยากครอบครองทุกสิ่ง ทั้งเงินทอง นารี โดยไม่คำนึงถึงสังคมรอบข้างเลย ส่วนผีเสื้อก็คงจะเป็นตัวแทนแห่งการหลุดพ้นจากวงจรอุบทว์เหล่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเสียเลยกว่าที่เคนดริกจะผ่านจุดๆนั้นมาได้  สิ่งที่เคนดริกได้ทิ้งไว้คือคำถามที่ว่า

เราอยู่ในสถานะไหนกันแน่ระหว่างผีเสื้อหรือหนอนผีเสื้อ น่าคบคิดได้อีก


Top Track : Ahhhhhhh เลือกไม่ถูกเหมือนกัน ทุกแทร็คมันเชื่อมโยงกัน จะบอกได้มั้ยว่าชอบทุกเพลงจริงๆ


Give 10/10 (Perfect , Flawless , Good Storyteller)


Thanks For ReadingSee Ya



แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

ขอต้อนรับสู่บล็อคเพลงสากล  " ฟังไปฟังมา " (อัพเดตเพลงสากล และ รีวิวอัลบั้มที่น่าสนใจ โดย IStyle จากเว็บบอร์ดตะวันตกสยามโซน) 







สวัสดีฮับทุกท่าน เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่เรานั่งเขียนบทความรีวิวอัลบั้มเพลงในเว็บบอร์ดตะวันตก siamzone.com ก็ได้เวลาแล้วที่ผมจะมี Blog ส่วนตัวเป็นของตัวเองซะที หลังจากที่ทำ project รายงานส่งอาจารย์ รู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ที่เราจะนำเสนอผลงานรีวิวฉบับภาษาไทยให้กับพี่น้องชาวไทยทุกท่านได้เลือกอ่าน เลือกเสพ กันถ้วนหน้า จะว่าไปแล้วบทความรีวิวอัลบั้มเพลงสากลเวอร์ชั่นไทยหาอ่านในเน็ตได้ยากขึ้นทุกวัน (โดยเฉพาะแนวเพลงฮิพฮอพ , อัลเทอเนทีฟ)  อ่านในนิตยสารบางทีก็ต้องรอไปอีกหนึ่งเดือนบ้าง 2-3สัปดาห์บ้าง แถมบทความรีวิวก็เขียนน้อยมากๆ  ผู้อ่านอย่างเราหรือพวกคุณคงไม่สะใจแน่นอน  เราเป็นคนชอบฟังเพลงเป็นอัลบั้มนะ ไม่ชอบฟังแบบซิงเกิ้ลแยกๆ มันได้อารมณ์ต่อเนื่องดี  FungPaiFungMa  เป็นเสมือนคลังเก็บรวบรวมบทความรีวิวอัลบั้มเพลงสากลฉบับยาว เอาให้ตาลายกันไปข้างนึง 555  คุณสามารถเลือกอ่านได้ตามใจคุณต้องการ คุณสามารถนำรีวิวของเราไปใช้ในการประกอบตัดสินใจซื้ออัลบั้มชุดนั้นๆ อ่านเพื่อให้รู้ว่าศิลปินต้องการจะสื่ออะไรให้กับคนฟัง อ่านเพื่อมาแชร์ความเห็น พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เราชอบนะที่มีคนมาทักมาคุยในเรื่องที่ผมชอบ โดยเฉพาะเรื่องเพลง เราคุยกับเพื่อนได้ทั้งวันเลย สนุกดี


ทำไมชื่อบล็อกต้องเป็น " ฟังไปฟังมา" ?

การที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ใครซักคน เราก็ต้องทำความรู้จักกับคนนั้นเสียก่อน จะตัดสินว่าคนนั้นเป็นคนดีหรือไม่ดีจากการกระทำครั้งเดียวไม่ได้ บางทีคนเราทำถูกทำผิดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา การรีวิวอัลบั้มเพลง วิพากษ์วิจารณ์เพลงก็เหมือนกันฮับ จะฟังครั้งเดียวแล้วตัดสินเลยว่าอัลบั้มนี้ดีหรือไม่ดี มันก็ไม่ได้ใช่มั้ยครับ มันต้องฟังซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้รู้ว่าอัลบั้มนั้นดีหรือเปล่า มันมีอาจจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ในดีเทลก็ได้ อัลบั้มนี้ฟังครั้งแรกเพราะติดหูเลย แต่พอฟังไปซักพักก็พบว่าอัลบั้มชุดนี้มันแทบจะไม่มีอะไรเลย เนื้อหากลวง ไม่ Deep สนุกไปวันๆ ไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับคนฟังเลย บางอัลบั้มฟังยากย๊าก หาความไพเราะแทบไม่ได้เลย แต่พอฟังไปซักพัก เริ่มหาความไพเราะได้ กลับค้นพบความพิเศษในอัลบั้มชุดนั้นก็เป็นไปได้ครับ บทความรีวิววิพากษ์วิจารณ์ของเราไม่ได้มาจากการฟังครั้งเดียวแล้วลงมือเขียนเลยอย่างแน่นอน สะสมรอบการฟังอัลบั้มชุดนั้นอย่างน้อย 3-4 รอบ เพื่อตกตะกอนความคิด แล้วนำทัศนคติของผมใส่ลงในบทความรีวิว คำว่า "ฟังไปฟังมา" เป็นการฟังแบบซ้ำไปซ้ำมาเนี่ยแหละ ถ้าอัลบั้มนั้นดี เราก็แนะนำได้อย่างเต็มปากเต็มคำ  แต่ถ้าอัลบั้มนั้นไม่ดีเราก็บอกแบบตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เสียตังค์โดยใช่เหตุ (ยกเว้นติ่ง อยากซื้อก็ซื้อไป)


สไตล์การรีวิว 

การรีวิวของผมจะไม่ให้คะแนนแต่ละแทร็ค (ขี้เกียจคิด) แต่จะให้คะแนนภาพรวมทั้งอัลบั้มทีเดียวเลย จัดอันดับแทร็คเด่นประจำอัลบั้ม (Top Track) มันเป็นอะไรที่สนุกดี ส่วนของการจัดอันดับแทร็คเด่นก็เหมือนกับแนะนำเพลงในอัลบั้มชุดนั้นไปในตัวด้วย ถ้าใครไม่ชอบซื้ออัลบั้มทั้งชุด แต่ชอบซื้อแบบเพลงแยกเอกเทศ ก็สามารถนำส่วนนี้ไปประกอบการตัดสินใจได้ ผมเลือกที่จะบอกดีเทล เนื้อหาของเพลงเฉพาะเพลงที่ผมคิดว่าน่าสนใจเท่านั้น ส่วนเพลงที่ไม่น่าสนใจผมก็จะบอกแบบผ่านๆวิจารณ์ตรงไปตรงมา ไม่ลงดีเทลไปมากกว่านี้ เพราะจะเสียเวลา ผมจะบอกคอนเซปต์ สิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อสารกับคนฟัง ข้อดี ข้อเสียของอัลบั้มชุดนั้น ไม่วิจารณ์เชิงจิกกัดให้เสียๆหายๆใส่ความเกลียดอย่างแน่นอน มีแซวบ้างอะไรบ้าง บางอัลบั้มมีเพลงเนื้อหารุนแรง เกี่ยวกับเซกส์ ยา ปลาปิ้ง ผมอาจจะเขียนคำหยาบลงบนบทความบ้าง ผมก็จะแปะ น18+ ติดไว้ เป็นการบอกล่วงหน้า ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ๆกันอยู่แล้วล่ะ แต่การเขียนของเราจะไม่เป็นการชักจูงให้คนอ่านไปทำอย่างนั้นแน่นอน 


แนวเพลงที่ผมรีวิว

เนื่องจากเรามีงานประจำทำ การฟังเพลงของเราจึงจำกัดแค่แนวเพลงที่ผมชอบเท่านั้น ไม่สามารถฟังได้ทุกแนวทุกอัลบั้มที่รีลิสออกมา แนวเพลงที่เราชอบจริงจัง ฟังบ่อยสุด คือ ฮิพฮอพ ฟังบ่อยสุดล่ะ ยิ่งปีนี้ศิลปินรายใหญ่ต่างทยอยปล่อยออกอัลบั้มแบบไม่ขาดสาย มีให้ฟังทุกเดือน บทความรีวิวอัลบั้มเพลงฮิพฮอพจะเยอะเป็นพิเศษ เราว่าเพลงฮิพฮอพมันมีเสน่ห์ดี เป็นเพลงที่ต้องใช้ไหวพริบในการต่อคำต่อกลอน ตั้งแต่ที่ผมได้ฟัง Eminem Kanye West , Drake เลยเริ่มชอบฮิพฮอพ ซิงเกิ้ลฮิพฮอพอันไหนฮิตก็ฟัง ยิ่งช่วงนี้กระแส Featuring มาแรง แขกรับเชิญคนไหนแร็พได้น่าสนใจ ก็ไปฟังตาม จริงๆผมฟังได้ทุกแนวนะไม่ปิดกั้น ไม่ว่าจะเป็นป็อป-ร็อค อัลเทอเนทีฟ อาร์แอนด์บี อินดี้ป็อป ตามอารมณ์ไปเรื่อย นึกอยากฟังแร็พก็เพลงแร็พ นึกอยากเป็นชาวร็อคก็ฟังร็อค ไปตามอารมณ์ ส่วนเพลงไทยผมแทบไม่ได้ฟังเลยครับ ( เว้นแต่ห้างเปิดกรอกหู ) อย่างแนวเพลงฮิพฮอพถ้าชุดไหนน่าสนใจก็โพส ถึงแม้ว่าศิลปินที่ผมชื่นชอบ แต่กลับทำเพลงต่ำกว่ามาตรฐาน ผมก็จะโพสครับ แนวป็อบ-ร็อค อัลเทอเนทีฟ ผมจะเลือกโพสอัลบั้มที่ผมคิดว่าในโลกออนไลน์พูดถึงน้อย ถ้าพูดถึงเยอะแล้วเฉกเช่น Taylor Swift ก็จะไม่โพส 


สนับสนุนของแท้/Streaming ไม่แปะลิงก์ดาวน์โหลด zip file ใดๆทั้งสิ้น (เว้นแต่มันไม่มีใน iTunes จนปัญญา)

อยากจะบอกเรื่องนี้นานแล้ว ถ้าเราชื่นชอบผลงานเพลงของศิลปินคนนั้นจริงๆ เราก็ควรที่จะซื้อของแท้นะครับ แผ่นแท้ ไอจูน streaming Deezer KKBox Tidal อะไรทั้งหลายแหล่ ถ้าถามผมลงทุนกับผลงานเพลงมันก็คุ้มอยู่นะ เราเสพได้หลายครั้ง ไม่เหมือนหนังที่เสพได้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แต่ทั้งนี้ก็เลือกซื้อซักนิดนึง ดูงบประมาณในกระเป๋าด้วย


คำเตือน

รีวิวบางอันผมให้คะแนนซักเยอะเลย อยากให้ไปลองฟังกันก่อนนะครับ ไม่ต้องไปรีบซื้อ บางทีผมกับพวกคุณอาจมีทัศนคติเกี่ยวกับความไพเราะของเพลงต่างกันก็ได้ ผมฟังแล้วเพราะ คุณฟังแล้วไม่เพราะก็เป็นไปได้ อย่างที่บอกฮับ เพลงมันเป็นงานศิลปะ คนฟังอาจมีมุมมองต่างกัน อ่านรีวิวแล้วอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปครับ บางเพลงอาจมีการตีความผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยฮ๊าฟฟฟ


เดี๋ยวผมจะทยอยลงบทความรีวิวที่ผมเคยเขียนไว้ในสยามโซนมาใส่ในบล็อกนี้เกือบทั้งหมด ยังไงฝากบล็อก " ฟังไปฟังมา " ไว้ด้วยนะคร้าบบบบ ^____^



Enjoy Your Music

Thanks For Reading

See Ya

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[Review Album] 2014 Forest Hills Drive - J.Cole

โหยหาความสุขที่แท้จริงในชีวิต




 ศิลปินแรกเปิดบล็อก " ฟังไปฟังมา " ที่ผมจะมารีวิวคือ J.Cole แร็พเปอร์และโปรดิวเซอร์หนุ่มจาก North Carolina ที่กลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ล่าสุดชุดที่ 3 ชื่อว่า 2014 Forest Hills Drive สาเหตุที่ผมเอารีวิวอัลบั้มชุดนี้เปิดบล็อกรีวิวอย่างเป็นทางการของกระผมก็เพราะว่า 1.Hip Hop เป็นแนวเพลงที่ผมชอบ  2. J.Cole กำลังฮอตที่สุดในเกมแร็พ ณ ขณะนี้  3.มีอยู่หลายเพลงในชุดนี้ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับชีวิตของข้าพเจ้า เนื้อหาในรีวิวของผมจะมีเรื่องส่วนตัวของผมมาแจมด้วย 4.อัลบั้มชุดนี้ฟังง่ายไม่ใช่คอฮิพฮอพก็เข้าถึงได้ แถมได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น 

ก่อนอื่นขอท้าวความผลงานของเจ.โคลกันคร่าวๆก่อนฮับ


J.Cole ถือเป็นแร็พเปอร์ที่น่าจับตามองในวงการฮิพฮอพ ณ ขณะนี้เลยก็ว่าได้ครับ เป็นเด็กปั้นของ Jay-Z ต้องได้รับการจับตามองเป็นเรื่องธรรมดา แถมยังได้เป็นศิลปินคนแรกที่ได้เซ็นสัญญากับค่าย Roc Nation ค่ายเพลงของ Jay-Z ซะด้วย เริ่มฉายแววด้วยอัลบั้มแรกอย่าง Cole World : Sideline Story  อัลบั้มแรกเปิดตัวการเข้าสู่วงการแร็พบนดินอย่างเต็มตัว มาพร้อมสไตล์แร็พออกไปในทางฮาร์ดคอ จัดโหดเลยทีเดียว เพลงที่ผมชอบก็มี Dollar And Dream III  , Can't Get Enough , Lost Ones , Light Please และ Sideline Story ถึงแม้ว่าจะโดนสบประหม่าว่าดังได้เพราะเป็นเด็กปั้นของ Jay-Z แต่ J.Cole ก็สามารถพิสูจน์ความเจ๋งได้ จากการถูกเสนอเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ สาขาศิลปินหน้าใหม่ Best New Artist ชุดถัดมาอย่าง Born Sinner สไตล์เพลง Conscious Rap เริ่มชัดเจนขึ้น เล่นเรื่องราวของด้านดีและด้านมืดของมนุษย์ สไตล์เพลงซอฟต์กว่าชุดที่แล้ว ถึงแม้ว่าเพลงอัลบั้มส่วนใหญ่ชวนง่วง แต่เนื้อหามีดีอยู่ไม่น้อย แทร็คที่ผมชอบก็จะปลื้มอย่างสุดๆไปเลยครับ เฉกเช่น Crooked Smile ที่ออกแนวอุดมคติสุดๆ เชิดชูผู้หญิงอยู่พอสมควร Let Nas Down ใครเห็นชื่อนี้แล้วต้องสะดุดทันที เพราะกล้าตอบโต้กับรุ่นใหญ่อย่าง Nas ที่ได้เคยให้สัมภาษณ์แบบเจ็บๆเลยครับว่า "กูเกลียดเพลง Work Out" แทนที่เฮียโคลจะด่ากลับ แต่ไม่ด่า กลับชื่นชมไอดอลของเขาซะมากกว่า  จน Nas เองซึ้ง ไม่กล้าหืออือเลย ยังมี Power Trip , Forbidden Fruit และ Born Sinner ที่จรรโลงใจอยู่ไม่น้อย




มาถึงชุดนี้ 2014 Forest Hills Drive แตกต่างจากอัลบั้มชุดแล้วพอสมควร ด้วยตัวดนตรีที่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีองค์ประกอบซับซ้อนเหมือน 2 ชุดก่อนหน้านี้ ต้องบอกก่อนว่าการโปรโมทอัลบั้มชุดนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่มีการปล่อยซิงเกิ้ลใดๆ เลยทั้งสิ้น  ไม่มีแผนโปรโมทจากค่ายใหญ่ แต่เล่นกลยุทธ์กับแฟนเพลงอยู่พอสมควร ด้วยการให้แฟนเพลงไปลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ฟังอัลบั้มชุดนี้ก่อนใครในโลกที่บ้านของเจ.โคลซะด้วย 

คลิปที่แปะอยู่ข้างบนเป็นทีเซอร์โปรโมทอัลบั้ม บอกข้อมูลเชิงลึกได้เยอะพอสมควร



ดูเหมือนว่า เจ.โคล  จะเริ่มเบื่อกับชื่อเสียงของตัวเองเสียแล้ว ชุดนี้ เจ.โคล พาเราไปย้อนวันวานเก่าๆตอนวัยรุ่นที่ผ่านเรื่องร้อนผ่านหนาวก่อนจะมีถึงวันนี้ ในขณะเดียวกันโคลเริ่มตั้งคำถามให้กับตัวเองและผู้ฟังว่า ความสุขที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ใช้ชีวิตแบบคนมีชื่อเสียงหรือแบบคนธรรมดา Intro เปิดอัลบั้มชุดนี้บ่งบอกคอนเซปต์ของอัลบั้มได้ดีมากๆ มันพูดถึงเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนของคนผิวสีที่ต้องการความสุขและอิสรภาพที่แท้จริง 

January 28th แทร็คเปิดตัวสไตล์ Old School Hip Hop ที่ใช้วันเกิดของเจ.โคลมาตั้งเป็นชื่อเพลง ซึ่งวันเกิดดังกล่าวก็ตรงกับ Rakim และ Rick Ross บีทฟังสบาย เนื้อหาแคร์คนผิวสีที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับระบบสองมาตรฐานของอเมริกา Wet Dreamz  เพลงจังหวะสนุกเล่าถึงประสบการณ์โจ๊ะสาวครั้งแรกของเฮียโคล ที่ทะลึ่งและแสบมาก 


03'Adolescense  conscious rap ที่พูดถึงชีวิตอันยากลำบากของเฮียโคลในสมัยวัยรุ่นที่เจอเรื่องสารพัด ทั้งโดนดูถูก โดนหญิงทิ้ง รวมถึงเกือบโดนชักจูงจากเพื่อนให้ค้ายาเพื่อรวยทางลัด สุดท้ายแล้วโคลก็เลือกที่จะเรียนต่อให้จบครับ โคลได้บอกเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขาดความมั่นใจในตัวเขาเอง เนื่องจากโคลเป็นเด็กยากจน ไม่รวยเหมือนคนอื่น แต่อย่างไรก็ตามโคลก็ภูมิใจในสิ่งที่เขามี ที่เขานั้นมีบ้าน มีพรสวรรค์ในการแร็พ  ผมฟังเพลงนี้รู้สึกว่า เฮ้ย! มันคล้ายๆกับชีวิตผมเลย (เพียงแต่ผมไม่ได้ยากจนและโดนเพื่อนชักจูงให้ไปทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย) ประมาณว่า มีสิ่งยั่วยุเกิดขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังเรียนในมหาลัย อยากเล่นดนตรี อยากเขียนเพลง อยากมีแฟน ต่างๆนานาๆเลยครับ และแถมโดนดูถูกจากเพื่อนบางกลุ่มตอนผมทำกิจกรรมรับน้องด้วย เพราะทำไม่ถูกใจเขา ตอนนั้นผมก็ขาดความมั่นใจพอสมควรครับ สุดท้ายผมก็เริ่มมองตวเองว่าเราประเมินค่าตัวเองต่ำไปรึเปล่าวะ เราก็ไม่ได้ยากจน ลำบากยากเข็ญเหมือนเจ.โคลนี่หว่า เรามีครบทุกอย่าง จะไปแคร์ทำไม ตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบ จบแล้วผมจะไปตามทางของผม


ต่อด้วย A Tale Of 2 Citiez ว่าด้วยประเด็นความความแตกต่างทางฐานะของ 2 เมือง นิวยอร์กเป็นตัวแทนของความร่ำรวย ส่วน Fayetteville บ้านเกิดของ J.Cole เป็นตัวแทนของความยากจน

Fire Squard เพลงนี้เฮียโคลเล่นประเด็นได้แรงมากๆครับ มันเป็นการพ่นไฟใส่แร็พเปอร์และนักร้องผิวขาวที่ครองพื้นที่ของดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บี ไม่ว่าจะเป็น Justin Timberlake , Eminem , Macklemore และ Iggy Azeliea  เฮียโคลได้พูดถึงความเนื้อน้อยต่ำใจที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแร็พเปอร์ผิวขาวมากกว่าผิวดำ ซึ่งจริงๆแล้วคนผิวดำต่างหากที่ให้กำเนิดเพลงฮิพฮอพโดยชอบธรรม สังเกตได้จากงานรางวัลแกรมมี่ที่ชอบแจกรางวัลให้แร็พเปอร์ผิวขาวทุกครั้งที่เข้าชิง เมื่อปีที่แล้วที่มีการแจกรางวัลให้กับ Macklemore แทนที่จะเป็น Kendrick Lamar ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงฮิพฮอพมากกว่า แต่ Kendrick Lamar (ซึ่งก็เป็นเพื่อนสนิทของเฮียโคล) กลับไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือ เฮียโคลเองก็ออกมาให้สัมภาษณ์บอกว่า     จริงๆแล้วคนผิวขาวก็มีสิทธิ์แร็พได้ ความผิดมันอยู่ที่ระบบของสังคมที่ยังคงเหยียดสีผิวกันอยู่



St.Tropez เฮียโคลแกร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพลงนี้ไม่มีแร็พครับ ฟังฆ่าเวลาไปพลางๆ G.O.M.D ย่อมาจาก Get On My Dick บอกเล่าเรื่องราวการเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆของโคลที่ยังคงหลงระเริงอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเองก็เริ่มตระหนักแล้วว่า มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง No Role Modelz พอคึกคักเข้ามาหน่อย บีทค่อนข้างติดหู แร็พได้โฟลดี จริงๆเฮียโคลแร็พเก่งอยู่แล้ว แต่เผอิญว่าอารมณ์เพลงมันพาไป เพลงนี้เอาใจคนที่ไม่มีพ่อเป็นบุคคลต้นแบบ เฮียโคลเติบโตมาในครอบครัวที่ขาดพ่อครับ  ถึงคุณจะไม่มีพ่อก็สามารถได้ดิบได้ดีได้เหมือนเจ.โคลได้


ดูเหมือนเพลงหลังๆในอัลบั้มชุดนี้จะเน้นไปทางร้องมากกว่าแร็พมากขึ้น ดนตรีสบายๆ ไม่ว่าจะเป็น Hello ให้อารมณ์ล่องลอยไปเรื่อย เพ้อนิดๆ Apparently เป็นการเริ่มมองย้อนถึงชีวิตที่เรียบง่าย เริ่มคิดถึงแม่และคนที่ศรัทธาในตัวเค้าถึงแม้ว่าเจ.โคลจะใช้ชีวิตอันเหลวแหลก หลงระเริงอยู่กลับชื่อเสียงก็ตาม จะเห็นได้ว่าเพลงนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเจ.โคล ที่ทำให้เขาตัดสินใจซื้อบ้านหลังเก่ากลับคืนมา ซึ่งเป็นบ้านที่เราเห็นอยู่บนหน้าปกอัลบั้ม  


Love Yourz เสียงเปียโนให้ความไพเราะสุดๆเลย ฟังแล้วรู้สึกโล่งทันที เพลงที่ผ่านมาเราจะได้เห็นว่าเจ.โคลพยายามตามหาความสุขและอิสระภาพที่แท้จริงในชีวิต เฮียโคลเคยคิดว่าถ้าเค้าหลีกหนีความยากจนไปเป็นคนรวยชีวิตเขาน่าจะมีความสุข แต่ที่จริงแล้วยอมเป็นคนจนดีกว่า เพลงนี้เปรียบเสมือนกับการนั่งทบทวนตัวเอง มันทำให้เราได้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่ารักตัวคุณเอง นี่แหละคือสิ่งที่เจ.โคลต้องการสื่อสารให้กับผู้ฟัง ผ่านบทเพลงของเขา ยอมรับเลยว่าตอนผมฟังเพลงนี้ผมเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น


ปิดท้ายด้วย Note To Self เป็นเพลงปิดท้ายที่พูดขอบคุณคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้เจ.โคล ประสบความสำเร็จจนมาถึงทุกวันนี้ มีทั้งแฟนเพลง เพื่อนในวงการ  ไปจนถึงพี่น้องและแม่ ร้องเน้นๆ ไม่มีแร็พ แล้วก็พูดร่ายยาวไปเรื่อยๆ สไตล์เพลงที่มีเครดิตแปะด้วยคล้ายๆกับ Last Call ของ Kanye West เลยล่ะครับ


สิ่งที่ผมชอบมากๆในอัลบั้มชุดนี้คือ เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มครับ เรื่องจริงล้วนๆ ไม่มีการปรุงแต่งเลยแม้แต่น้อย มันเป็นอะไรที่เพื่อชีวิตอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งแร็พเปอร์ส่วนใหญ่ทำเพลงเนื้อหาที่ไม่ค่อยได้แคร์คนชั้นล่างมากเท่าไหร่นะ ไม่โอ้อวดจนเกินงาม แร็พแบบตรงไปตรงมา ดูมีสาระมากกว่าแร็พเปอร์เจ้าอื่นๆ ทำให้เรารู้ว่ากว่าจะมี J.Cole จนถึงทุกวันนี้ ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร ถีบตัวเองจากครอบครัวยากจน สู้ชีวิตจนถึงทุกวันนี้  สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เรารู้ว่าเงิน ชื่อเสียง ซื้อความสุขไม่ได้ ความสุขที่แท้จริงคือการใส่ใจคนรอบข้างและตัวเองมากกว่า ส่วนตัวเพลงฟังสบายที่ใครที่ไม่ใช่คอฮิพฮอพก็เข้าถึงได้ไม่ยาก ไม่ดาร์กจัดจนเกินไป การเล่นตีมตามหาความสุขและอิสรภาพเป็นอะไรที่คมมากๆ ทำให้เรารู้ว่าไม่ต้องรวย ก็สุขได้ มีสาระนะนั่น !

ส่วนข้อเสียของชุดนี้คือ เล่นบีทง่ายไปหน่อย โปรดักชั่นดูโหลไปนิดนึง ไม่ได้ให้ความตื่นเต้นเท่าไรนัก ยิ่งช่วงหลังๆ ออกแนวง่วงเลยล่ะครับ อาจจะเป็นเพราะด้วยตัวบริบทคอนเซปต์อัลบั้มชุดนี้ที่ออกจะเน้นมุมมองส่วนตัวไปหน่อย เลยทำตัวเพลงออกแนวเรียบง่าย ไม่หวือหวามากนัก แต่นั่นเป็นเหตุผลทางดนตรี  จริงๆแล้วผมรับได้ครับ


ถือเป็นความโชคดีของแฟนเพลงรวมถึงตัวผมที่ได้ฟังเพลงฮิพฮอพดีๆตอนช่วงปลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้ผ่านหูไปเปล่า แต่มันทำให้ตัวผมเองได้ขบคิดผ่านบทเพลงเค้าด้วย ผมยังไม่การันตีว่าชุดนี้ดีที่สุด แต่ผมการันตีได้เลยว่า ชุดนี้น่าจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ฮิพฮอพขยะ การกลับบ้านครั้งนี้ของ J.Cole น่าจะยังไม่สิ้นสุดอาชีพของศิลปินไว้เพียงเท่านี้ มันเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า

J.Cole ไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีของ Jay-Z อีกต่อไป


Top Track : Fire Squard , No Role Modelz , Love Yourz , January 28th , Wet Dreamz and A Tale Of 2 Cities

Give (8.5/10)    (Rap Song In Personal Theme)


ปิดท้ายด้วยคลิปสามคลิปที่อยากจะแนะนำให้แฟนเพลง J.Cole ดู 



คลิปนี้เฮียโคลเปิดบ้านของตัวเองให้ดูครับ ซึ่งเป็นบ้านที่เจ.โคลไปซื้อคืนมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เจ.โคลปล่อยให้คนอื่นอยู่ฟรี 2 ปี โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็น Single Mom ที่มีลูกติดหลายคนอยู่เท่านั้น That's dope.

ส่วนอันสุดท้ายเป็นบทสัมภาษณ์ของเจ.โคลที่เจ๋งมากๆ มันทำให้ผมได้เห็นทัศนคติที่ลึกซึ้งและตรงไปตรงมาของเฮียโคลเกี่ยวกับอาชีพของศิลปิน ดูดีมีวิสัยทัศน์เอามากๆ 40 กว่านาทีมีเวลาดูก็ดูได้ถ้าใครเป็นแฟนเพลงแนะนำให้ดูเลย


อันนี้เป็นการแสดงสดเพลง Be Free ที่เป็นตัวแทนของการเรียกร้องอิสรภาพของคนผิวสี เป็นการแสดงสดที่ทำผมขนลุกมากครับ ไม่น่าเชื่อว่า J.Cole ร้องได้เข้าถึงอารมณ์มากๆ เพลงออกแนวดาร์กแต่ผมฟังหลายรอบเลยล่ะ ประทับใจมาก


Thanks For Reading

See Ya