วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Long.Live.A$AP-A$AP Rocky [น18+]

Black Music ที่หะรูหะหราและ ล้ำสมัยโคตตตตตตร





Long Live A$AP เป็น LP ชุดแรกของแร็พเปอร์หนุ่มแฟชั่นนิสต้าตัวจริง A$AP Rocky ที่ปล่อยออกมาตั้งแต่ต้นปี 2013 แล้ว เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของหนุ่มคนนี้เลยก็ว่าได้ อัลบั้มนี้มีความพิเศษตรงที่ซาวน์มีความแปลกใหม่เอามากๆ  บีทโหลๆหนักหูไม่มีให้เห็น แถมเนื้อหาที่แรง ดิบ ดาร์กจัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก ไม่เหมาะกับคนโลกสวยแน่นอน เปิดตัวดี อันดับ 1 บิลบอร์ดชาร์ตตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขาย กระแสตอบรับดีด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปดูกันเลย




Long Live A$AP อินโทรด้วยเอ็พเฟ็คเสียงฟ้าร้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาแนวดาร์กแน่ๆ บีทแปลกใหม่เอามากๆ ซาวน์หลอนๆ บรรยากาศออกแนวบ้านผีสิง บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื้อหาแรงงได้อีก ถึงขนาดไม่สนใจฉลากขาวดำเลยทีเดียว เบรคด้วยท่อนฮุคที่เนิบๆ ช้าๆ เป็นท่อนที่ผมชอบมากๆ ลงตัว ฟังแล้วเคลิ้มตาม Who said you can't be forever lie ส่วนเอ็มวีนี่ก็ตอกย้ำความเป็นบ้านผีสิงเลย
 



Goldie  ทอง ทอง ทอง อะไรก็ทองเต็มไปหมดเบย ซาวน์ฟังได้สนุกดี ออกแนวบริ้งค์ๆสมชื่อเพลง แต่ไม่กรุ้งกริ้งจนเลยเถิดไปไกล เพิ่มความหลอนด้วยเสียงautotune ใหญ่ๆ สไตล์ gangster เหมือนเป็นตัวแทนด้านซาตานของ Asap ฟังได้เรื่อยๆ ไม่คิดอะไรมาก 

PMW (All I Really Need) [ft. Schoolboy Q] หลายๆคนคงงงว่า PMW มันย่อมาจากอะไรฟระ BMW ก็ไม่น่าจะใช่ ฟังท่อนฮุคก็ถึงบางอ้อทันทีว่า curry เงินตรา กัญชา นี่แหละที่กูต้องการ 555 ถ้าใครได้ลองฟัง clean version แล้วคงงงแน่ๆ ว่ามันจะสื่ออะไร เพราะโดนเซนเซอร์  intro เปิดด้วยซาวน์หวือหวามากๆ บีทตึบตับ เทห์ดี ฟังดูไม่น่าเบื่อดีครับ ท่อนฮุคนี่ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหม่อลอยไปไกลเลย ไอ้ asap มันต้องเมา weed แน่ๆ เสียดายที่เพลงมันจบไวไปหน่อย เป็นอีกหนึ่งแทร็คที่ห้ามข้าม



LVL ความแปลกใหม่บังเกิดอีกแล้ว บรรยากาศเพลงให้ความรู้สึกเหมือนฟังเพลงที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยไวรัสอย่างไงอย่างงั้นเลย ซาวน์ที่บิดเบี้ยวบวกกับแร็พของ asap กลับเข้ากันได้อย่างแปลกประหลาด ฟังดูเนิบๆในตอนแรก แต่ท่อนสอง asap คุมเพลงได้อยู่ครับ แร็พรัวๆ เพิ่มความไวมากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วย เสียงสวดมนต์เป็นการเบรค พลางนึกถึงพวกเด็กแขกสวดมนต์ยังไงไม่รู้ ดูแตกต่างจากแทร็คที่ผ่านมาดีครับ ไม่น่าเบื่อ ไม่ต้องอาศัยท่อนฮุคให้ยุ่งยาก (LVL ย่อมาจาก Locked vnd Loaded ซึงเป็นลูกเล่นบีทของ asap นั่นเอง)   



Hell [ft. Santigold] เบรคด้วยแทร็คฟังสบายๆ อิมแพ็คบางๆ เพลงนี้ซาวน์คล้าย M.I.A โคตรๆ ยิ่งได้ santigold มาฟีทอีกในท่อนฮุค ยิ่งทำให้ดูคล้ายเข้าไปอีก ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ซะเท่าไหร่ ฟังได้เรื่อยๆ แต่ไม่โดนใจเราซะเท่าไหร่  

ต่อด้วยเพลงช้า Pain [ft. OverDoz] สไตล์เพลงเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ได้วงฮิพฮอพ overdoz มาร่วมแจม สร้างสีสันให้เพลงได้ดี ทั้งท่อนแร็พและท่อนฮุค เนื้อหาแอบจิกกัดวงการบันเทิงได้เจ็บแสบดี โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายที่ asap แร็พปิดเกมที่ว่า What you wanna be like the Black Eyed Peas, all these 3's S-T-A-R-S, that’s Hollywood, won’t you rest in peace







Fuckin’ Problems [ft. Drake, 2 Chainz & Kendrick Lamar] มาถึงแล้วซิงเกิ้ลที่ได้กลายเป็น signature ของ asap rocky ไปแล้วเรียบร้อย ผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะรู้จัก Asap rocky จากเพลงนี้อย่างแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจอันดับแรกเลยคือ แขกรับเชิญ แต่ละรายตัวท็อปทั้งน้าน บวกกับชื่อเพลงและเนื้อหาที่แรงได้โล่ห์ (ประมาณว่า กรูเสพติดเซ็กส์จนกรูถอนตัวไม่ขึ้นแล้วไอ้แสรด) ซาวน์ดิบได้ใจ เบสหนักสะใจ อารมณ์ดาร์กแบบจัดเต็ม และเป็นการใช้แขกรับเชิญได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ เอาข้อดีของแต่ละคนไปใช้ได้ถูกที่ ถูกจังหวะ เสียงเข้มๆ ดุดันของ 2chainz ช่วยเสริมท่อนฮุคให้ดิบขึ้น asap แร็พเปิดโชว์ความแรงแบบโจ๋งครึ้ม เบรคด้วยแร็พที่ไม่ดิบมากของเดรก และkendrick เสริมความดิบปนทะลึ่งปิดท้าย  ฟังครั้งแรกอาจไม่ชิน ฟังไปซักพัก กลับติดใจโคตรๆ พอเพลงนี้ถูกแรนดอมทีไร เป็นอันต้องเปิดซ้ำ เพลงนี้ได้ drake และ Noah 40 shebib มาโปรดิวซ์ให้ด้วย




Wild for the Night [ft. Skrillex] ได้เวลาที่ asap rocky เปิดปาร์ตี้แว้ว เห็นชื่อแขกรับเชิญ ก็โคตรเซอร์ไพร์สมากๆ เมื่อฮิพฮอพสไตล์ดาร์กๆมาเจอกับดับสเต็ปขั้นเทพ ผลที่ออกมาคือ ความมันส์อย่างบ้าบิ่นยิ่งกว่าแร็พฮาร์ดคอซะอีก ฟังแล้วอยากจะดิ้น อยากจะส่ายหัว ของมันขึ้น จิตใจแทบจะไม่อยู่เป็นสุขเลย ต่อให้ยืนนิ่งๆ หรือนอนฟังก็ตาม เปิดในผับได้สบายๆ (ปล่อยเลเซอร์มาจะดีมากๆ) ยิ่งเข้าถึงเพลงได้ดีสุดๆ เป็นปาร์ตี้ดาร์กสไตล์ asap ที่ปล่อยความบ้า ป่าเถื่อน ได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่สนหน้าพรหมหน้าอินทร์กันเลย แทร็คนี้กระทืบไลท์กระจุย




1Train [ft. Kendrick Lamar, Joey Bada$$, Yelawolf, Danny Brown, Action Bronson & Big K.R.I.T.]  จะว่าไปแล้วเห็นชื่อแขกรับเชิญแล้วถึงกับช็อคโคตรๆ แขกรับเชิญเยอะฉิบหาย ซึ่งเกิดมาไม่เคยเห็นมาก่อน นี่คงเป็นเพลงที่มีแขกรับเชิญที่เยอะที่สุดในโลกแล้วกระมั้ง gangsta rap เน้นๆ  ผมขอเรียกเพลงนี้ว่า "แร็พเรียงแถว" จุดเด่นของเพลงนี้ที่โดนใจผู้เขียนเป็นอย่างแรง นั่นก็คือ การโชว์ศักยภาพของแร็พเปอร์แต่ละคนที่เรียงแถวกันมาแร็พต่อๆกันแบบไม่มีใครยอมใคร ถ้าถามผมว่าท่อนไหนเด็ดที่สุด ผมให้ yelawolf กับ danny brown ครับ มาเป๊นคนที่ 4 กะ 5 ตามลำดับ เป็นเพลงที่แร็พโคตรมันส์



Fashion Killa  คราวนี้ Lord Flacko พามาช็อปปิ้งบ้าง ระดับนี้แล้วต้องแบรด์เนมเท่านั้น Alexandra Wang Gucci น้ำหอม Dior จตุจักรอย่าได้พูดถึง ตัวเพลงล้ำได้อีก บรรยากาศเหมือนได้อยู่ใน catwalk เลย ถ้าใครอยากจะเอาเพลงนี้ไปเปิดในงานแฟชั่น ผมแนะนำเพลงนี้เลย ใน mv ได้ ห่านศรี มาเป็นนางเอกเอ็มวีด้วย อยากให้ลองไปดูกัน 



Phoenix  เบรคด้วยเพลงช้า เนื้อหาดูจริงจังขึ้น ไม่ได้วนเวียนอยู่แค่อบายมุขเพียงอย่างเดียว คราวนี้พี่แกขอมาระบายต่อหน้าพระเจ้าบ้าง ตัวเพลงดูเคว้งคว้าง โดดเดี่ยวเดียวดาย แล้วเริ่มเปลี่ยนโทนสว่างๆ แบบริบหรี่นิดๆในท่อนฮุค ประมาณว่า ชีวิตของพี่แกค่อนข้างเสพสุขอยู่พอสมควร เพลงนี้จึงเป็นการทบทวนตัวเองอีกครั้งและขอความเห็นใจจากพระองค์บ้าง เพื่อชี้ทางสว่างให้กับพี่แก ทำออกมาได้ดีครับ ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์ของเพลงได้ดี

มาถึงแทร็คปิดท้ายอัลบั้ม Suddenly ยังคงเป็นเพลงช้าอยู่เหมือนเดิม แต่เนื้อหาดีครับ ชีวิตเราย่อมมีขึ้นมีลง อะไรจะเกิดก็เกิดแบบกระทันหันซะงั้น ไม่มีอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ พี่แกก็ขอใช้ชีวิตให้คุ้มก็แล้วกัน ท่อนแร็พเล่นคำได้ดีครับ รัวดี ไม่เหยาะแหยะ ปิดท้ายด้วย outro ที่เป็นบรรยากาศเฉลิมฉลองกะแก็ง ASAP MOB หลังจากที่ทุ่มเทให้กับงานเพลง



Long Live A$AP เป็นอัลบั้มแรกที่เปิดตัวได้สวยมากๆ เป็นการปูทางที่ดีมากๆสำหรับ A$AP Rocky ตัวเพลงมีความเป็นเอกลักษณ์สูง ลูกเล่นแพรวพราวมาก โดยเฉพาะเสียงเอคโค่ที่มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการแร็พ มันทำให้เพลงมันมีมิติ สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฟัง อย่างน้อยมันดาร์กแบบมีศิลปะ ไม่ดูแบนราบจนเกินไป ตัวผมเองอัลบั้มที่ผมชอบอัลบั้มชุดนี้มากกว่าอัลบั้มชุดล่าสุดอย่าง At.Long.Last.A$AP เสียอีก  A.L.L.A เหมือนพยายามสร้างความแตกต่างก็จริง แต่มันขาดความตื่นเต้นไปหน่อย ฟังสนุกน้อยกว่าชุดนี้ 

จุดเสียของงานชุดแรกก็คือ ด้านเนื้อหาที่วนเวียนเรื่องเพศ ยา กัญชา แบบโจ๋งครึ้ม เนื้อหาอาจไม่ถึงระดับประเทืองปัญญาผู้ฟังมากนัก อันนี้ก็ต้องทำใจหน่อย  แต่ถ้าใครเป็นคอเพลงฮิพฮอพที่ชอบหาอะไรที่แตกต่างจากศิลปินท่านอื่นๆ ลองเปิดใจรับฟังผลงานของหนุ่มคนนี้ก็เป็นการดี หากคุณกำลังงงๆกับรีวิวอัลบั้ม A.L.L.A ที่ผมเคยโพสเอาไว้ ลองเอาผลงานชุดนี้ไปสดับฟังก่อนก็ได้ครับ


เพราะ Long Live A$AP ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของ A$AP Rocky


Top Track : 1Train [ft. Kendrick Lamar, Joey Bada$$, Yelawolf, Danny Brown, Action Bronson & Big K.R.I.T.] , Wild for the Night [ft. Skrillex] , Fuckin’ Problems [ft. Drake, 2 Chainz & Kendrick Lamar] , Long Live A$AP , PMW (All I Really Need) [ft. Schoolboy Q] , LVL , Suddenly

Give 8.5/10


บทความรีวิวอัลบั้มของ A$AP Rocky 

At.Long.Last.A$AP - A$AP Rocky (ใหม่ล่าสุด)

http://fungpaifungmabyistyle.blogspot.com/2015/06/atlonglastaap-aap-rocky-18.html

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Kiss Land - The Weeknd [น18+]


หลงอยู่ในแดนพิศวง

ไหนๆ The Weeknd กำลังจะออกอัลบั้มชุดใหม่ที่มีชื่อว่า Beauty Behind The Madness ที่รวมซิงเกิ้ลฮิตอย่าง The Hills และ Can't Feel My Face ที่กำลังจะวางแผงในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ผมเลยถือโอกาสรีวิวอัลบั้มนี้เสียเลย Kiss Land ถือเป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการภายใต้สังกัด XO และ Repulbic Record ของหนุ่มฮิปส์เตอร์อาร์แอนด์บี Abel Tesfaye หรือที่รู้จักกันในนามของ The Weeknd  ซึ่งตอนนี้ดังได้ดิบได้ดีจากเพลง Earned It เพลงประกอบหนัง Fifty Shades Of Grey จากผลงานชุดที่แล้วอย่าง Trilogy หลายๆคนอาจเข้าใจผิดว่า นี่เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดแรกของ Abel แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่นะฮ๊าฟ มันเป็นการนำมิกซ์เทปทั้งสามชุดอย่าง House Of Balloon , Thursday และ Echoes Of Silence มารวมกัน Kiss Land เนี่ยแหละสตูดิโอชุดแรกจริงๆ Kiss Land ชุดนี้ผมว่ามันซอฟต์กว่า Trilogy เยอะ ลดความดาร์กลงเยอะ ลดคำหยาบได้บ้าง แต่ตัวเพลงโดยรวมยังให้บรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล ลึกลับ หลอนๆ อีโรติค สองแง่สองง่ามอยู่ดี

ถึงแม้ว่าชื่ออัลบั้มจะไปในทางโรแมนติกกะโหลกกะลานิดนึง แต่คอนเซปต์ของ Kiss Land เป็นการออกเดินทางไปในสถานที่ๆไม่คุ้นเคย เจอคนแปลกหน้ามากมาย การเดินทางครั้งนี้ดูเหมือนไม่ใช่การออกเดินทางเพื่อเปิดโลกทัศน์แต่อย่างใด เจตนารมณ์ลึกๆต้องการหลีกหนีเมือง Toronto (อันเป็นสถานที่ที่เอเบลพูดถึงบ่อยมากๆ ในมิกซ์เทปไตรภาค Trilogy) นอกจากนี้ยังหลีกหนีผู้หญิงที่เอเบลเคยคบออกไปให้ไกลที่สุดอีกด้วย ไปเจอหญิงใหม่มากหน้าหลายตา เสพสุขอยู่ในดินแดนแห่งกิเลสตัณหาที่แฝงด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ นั่นแหละคือ Kiss Land หนังThriller ในจินตนาการของ Abel Tesfaye




แผนโปรโมทอัลบั้มชุดนี้มีความน่าสนใจมาก ด้วยความที่ Abel ชอบญี่ปุ่น เลยเลือกใช้โลเคชั่นเมืองโตเกียวในการถ่ายทำเอ็มวี หน้าปกซิงเกิ้ลก็มีภาษาญี่ปุ่น ภาพหนังเอวี ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น มาปะปนในงานชุดนี้ด้วย ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีครับ ที่จะเจาะตลาดพี่ยุ่น เพราะพี่ยุ่นอุดหนุนของถูกลิขสิทธ์อยู่แล้ว ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศสุดป็อบปูล่าที่ศิลปินหลายๆคนเลือกที่จะมาโปรโมทงานเพลงกัน 


Kiss Land ประกอบไปด้วย 10 แทร็คพร้อมโบนัสแทร็ค 2 แทร็คด้วยกัน จำนวนแทร็คดูน้อย แต่ความยาวของแต่ละเพลงยาวไม่ใช่เล่น ขั้นต่ำห้านาทีฮับผม ฟังกันยาวๆ 1 ชั่วโมง


อยากให้ลองดูคลิปนี้ แล้วจะเข้าใจคอนเซปต์ของ Kiss Land มากขึ้นครับ



เริ่มจากเพลงแรก Professional เปิดแบบเงียบๆ เสียงเอื้อนๆ เนิบๆ มีบีทเคาะแทรกเป็นช่วงๆ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นแทร็คเปิดที่ยังไม่โปรเฟสชั่นน่อลซะเท่าไหร่ ค่อนข้างน่าเบื่อและเนิบนาบไปนิดนึง แต่ก็ไม่ได้แย่มากฮับ


คลิปซ้อมร้องเพลงวอร์มอัพหลังเวที Belong To The World และ The Town

The Town เพลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่เอเบลเพื่อหนีผู้หญิงคนนึงที่เคยทิ้งเอเบลไปหาคนอื่น มาแบบช้าๆ ชอบน้ำเสียงอันละเมียดละไมของพี่แกมากๆ ให้ความรู้สึกสมูทในตอนแรก แต่ต่อมาโทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปใช้บีทสังเคราะห์ อิเล็คโทรนิคนิดๆ พาคนฟังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนวุ่นวาย เจ๋งดีฮับ


3 แทร็คต่อไปให้ความต่อเนื่องดีฮับ ไม่ว่าจะเป็น Adaptation อาร์แอนด์บีผสมผสานความเป็นกอสเปลได้ฮึกเหิมมากๆฮับ ถึงจะไม่ใช่แทร็คที่โชว์พลังเสียงอะไรมาก แต่ให้ความตื่นเต้นไม่น้อย ต่อเนื่องด้วย Love In The Sky แฝงความเซ็กซี่อยู่ไม่น้อยด้วยน้ำเสียงสุดละเมียดละไมของเอเบลอีกเช่นเคย ฟังเพลิน เนื้อหาอีโรติกโคตรๆ

Belong To The World อินโทรเปิดด้วยดับสเต็ปเท่ๆ เป็นป็อบที่มาแปลกแหวกแนวมากๆฮับ ตัวเพลงอลังกาล ส่วนเอ็มวีอันนี้ It A Must จริงๆ อลังกาลงานสร้างโคตรๆระดับเดียวกับเอ็มวีของศิลปินซุปตาร์เลยล่ะครับท่าน ลงทุนถ่ายทำถึงญี่ปุ่น แถมได้คนญี่ปุ่นมาแสดงร่วมในเอ็มวีเยอะมากๆ คารวะความเป็นญี่ปุ่นมากๆ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมและภาษา  เป็น 7 นาทีที่คุ้มค่าแก่การรับชม


Live For (Feat. Drake) อันนี้ก็มาแปลกๆดิบๆ มีเสียงพิณญี่ปุ่นเคล้าคลอกับเสียงร้องสุดสมูทของเอเบล เสนาะหูดีแท้ แถมยังได้เดรกผู้เป็นเพื่อนสนิทมาร่วมแร็พแจมสร้างสีสันให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ไม่อยากจะบอกว่าเดรกกับเอเบลเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ Crew Love และ The Zone แล้ว

Wanderlust รีฟกีตาร์เปิดอินโทรพี่ไทยโคตรๆ sound ดูมั่วไปหน่อย แต่เสียงร้องในแทร็คนี้ทำให้นึกถึง Michael Jackson

มาถึง Title Track ประจำชุดนี้อย่าง Kiss Land   Styles เพลงชวนให้นึกถึง Trilogy  อยู่ไม่น้อย เนื้อหายังไม่ทิ้งลายหนุ่มปาร์ตี้พี้ยา มั่วเซ็กส์ อยู่ดี ขึ้นต้นเพลงด้วยเอฟเฟ็คเสียงผู้หญิงกรี๊ดร้อง กระตุ้นความระทึกนิดๆ เสียงร้องมาแบบเรียบๆกลางแต่ยั่วยวนได้ใจสุดๆ ไม่มีต้องอาศัยเสียงหลบเสียงสูงแต่อย่างใด


Pretty ชื่อเพลงออกแนวชื่นชมผู้หญิง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเล๊ย เนื้อหาด่าผู้หญิงที่แอบมีชู้สู่ชาย เอเบลเคยให้สัมภาษณ์ในรายการของลุง David Letterman ว่า เพลงนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเพลง In The Air Tonight  ของ Phill Collin ที่พูดถึงความรักครั้งเก่าที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก จะว่าไปแล้วเพลงของลุง Phill จะตัดพ้อผู้หญิงแบบอ้อมๆ แต่ไอ้ห่านี่ด่าตรงๆ ส่วนเอ็มวีแม่งโหดสัส ไม่ไว้หน้า ไม่ปราณี เป็นอีกหนึ่งเอ็มวีที่ถ่ายทำในญี่ปุ่น แต่ น18+ นะฮับ (เห็นนม เลือดสาดด้วย)

ปิดท้ายStandard Version ด้วยเพลง Tears In The Rain เพลงเศร้าบอกลาสาวเพื่อไปตามทางของตัวเอง เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากสำคัญที่มีชื่อเดียวกับเพลง ในหนังsci-fi สุดคลาสสิค Blade Runner ผมชอบอินโทรเปียโนเพลงนี้มากๆ ติดหูดี ถือเป็นเพลงปิดท้ายที่ทำได้ดีฮับ


มาถึงโบนัสแทร็คแถมมาให้ 2 เพลง คุ้มค่าแก่การฟัง ประเดิมด้วย Wanderlust ได้ Pharrell Williams มารีมิกซ์ให้ในสไตล์ ฟังก์ นีโอ-โซล ตามสไตล์ถนัดของฟาเรล ไม่อยากจะบอกจริงๆว่า เวอร์ชั่นรีมิกซ์เจ๋งโคตรๆ ฟังครั้งแรกคลิ๊กเลย เจ๋งกว่าออริจินอลเสียอีก ผมว่าออริจินอลมันดูมั่วๆระคนปนเปไปหน่อย มันเจ๋งกว่าตรงที่มันลงตัว กรูฟเท่ ฟังลื่น ดนตรีมีทิศทางเดียวกัน ฟังเพื่อรีแล็กซ์ได้เลยล่ะ ต้องยกความดีความชอบให้เฮียฟาเรลจริงๆที่ช่วยทำให้เพลงมันดีขึ้น จริงๆผมอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงหลักในอัลบั้มซะด้วยซ้ำ

มาถึงโบนัสแทร็คเพลงสุดท้าย Odd Look จริงๆแล้วเพลงนี้เป็นเพลงดั้งเดิมของ Kavinsky  ศิลปินซิงค์ป็อบชาวฝรั่งเศสที่รวมอยู่ในอีพีอัลบั้ม Odd Look ไหนๆเอเบลก็อยู่ในสถานะแขกรับเชิญแล้วก็เอามารวมเป็นโบนัสแทร็คซะเลย ยอมรับตามตรงว่าไม่รู้จัก kavinsky มากเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้ฟังเพลงแนวนี้ แต่ตัวเพลงเป็นซิ้งค์ป็อบที่แปลกแหวกแนวมากๆ ซาวน์ดไม่โหล อินดี้ๆ 


สิ้นสุดการท่องราตรีไปยังดินแดนของ The Weeknd เป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่อัลบั้มชุดนี้พัฒนาจากชุดที่แล้วอย่างชัดเจนก็คือ โทนของเพลงที่ฟังไม่เลี่ยนจนเกินไป ผมว่า Trilogy มันดูเลี่ยนไปหน่อย ขนาดผมชอบฟังสายดาร์กแล้วนะ ยังรู้สึกเอียนเลย แต่ชุดนี้โทนดนตรีทำออกมาได้พอดี ฟังได้เรื่อยๆ มีลูกเล่นแปลกใหม่เพียบ มีมิติ 


จะว่าไปแล้วจุดเสียของผลงานชุดนี้ ผมว่ามันขาดความดาร์กไปเยอะเลย มันแทบจะใกล้เคียงความเป็นป็อบเลยล่ะสาวกเดนตายของ The Weeknd อาจไม่ถูกใจซะเท่าไหร่นะ และอีกอย่างหนึ่งที่ขาดหายไปคือ ความหนักแน่น ผมสังเกตจากงานเพลงชุดที่แล้วโดยเฉพาะมิกซ์เทปปิดไตรภาค Trilogy อย่าง Echoes Of Silence นั่นถือเป็นตัวอย่างที่ดีครับ สัดส่วนของความดาร์กพอดิบพอดี ยังมีเพลงที่ให้ความหนักแน่น พอเติมเต็มผู้ฟังได้บ้าง แต่ชุดนี้มันช่างเบาบางซะเหลือเกิน นั่นแหละครับคือสิ่งที่ทำให้ Kiss Land ยังเป็นผลงานที่ไม่มาสเตอร์พีสและเป็นที่จดจำมากนัก  ผมเข้าใจในตัวเอเบลนะที่ต้องการหาอะไรใหม่ๆให้ผู้ฟัง ไม่วกวนอยู่กับสไตล์ของตัวเองซะทีเดียว เกือบดีแล้วล่ะครับ

Trilogy บวกกับ Kiss Land แล้วหารสอง น่าจะลงตัวกว่า

Top Track : Live For (Ft.Drake) , Wanderlust (Pharrlell Remix) , Adaptation , Love In The Sky , Belong To The World

Give  7.5/10 





วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Ghost Stories-Coldplay (Version ผ่านไปแล้ว 1 ปี)

ความเรียบง่ายบนความขมขื่น




จริงๆแล้วผมโพสรีวิวอัลบั้มชุดนี้ลงบนเว็บอื่นไปก่อนแล้ว อัลบั้มนี้ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว แต่ผมคิดถึงอัลบั้มชุดนี้ ผมเลยได้โอกาสนี้ในการเผยแพร่บทความรีวิวเก่ามาเล่าใหม่ให้ชาวพันทิปได้อ่านกันเป็นกระทู้ที่ 4  สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงบริทร็อคตัวจริง Coldplay ที่มีชื่อว่า Ghost Stories ชื่ออัลบั้มไม่ได้หมายความว่า วงนี้เค้าจะแต่งเพลงที่เกี่ยวกับทูตผีปีศาจ ความเป็นความเป็นตายหรอกนะฮะ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังตั้งหาก การเลิกรา อกหักรักคุด ผีบ้าผีบอทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์นั้นต้องจบลง หลอกหลอนเราจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหลายๆคนก็พอจะนึกออกได้ว่า คอนเซปต์ของอัลบั้มชุดนี้มาจาก Chris Martin นักร้องนำและหัวหน้าวงเป็นแน่แท้ เพราะพี่แกเพิ่งเลิกรากับ Gwyneth Paltrow ไปหมาดๆ เพลงในชุดนี้จึงดูหม่นๆ ดาร์กๆ ไม่โลกสวยเหมือนอัลบั้มชุดที่แล้ว ถ้าใครเป็นแฟนตัวยงของวงนี้ ก็คงต้องทำใจนิดนึง เพราะตัวเพลงค่อนข้างจะป๊อบจ๋าเลย ไม่มีความเป็นร็อคหรืออัลเทอเนทีฟให้เห็น เน้นดนตรีอิเล็กโทรนิคมากขึ้น ดนตรีสดน้อยลง ก็แน่อยู่แล้วอกหักแบบนี้ใครๆก็ร็อคไม่ออกอย่างแน่นอน ตัวปกอัลบั้มก็ยังมาในแนวศิลปะอีกเช่นเคย ตีความไม่ยาก ดูผิวเผินเป็นรูปปีกนางฟ้าก็ได้ มองอีกมุมนึงในแง่ร้ายหน่อยก็จะเป็นรูปหัวใจที่แตกสลาย broken heart นั่นเอง ปกชุดนี้ตอบโจทย์คอนเซปต์อัลบั้มได้ครบถ้วน เรียบง่ายดี ส่วนartwork ข้างในก็เป็นงานศิลปะที่สวยงาม แต่เป็นสไตล์ดาร์ก ไม่มีโทนสีให้เห็นซะเท่าไหร่ โทนขาวดำสีน้ำเงิน ในไส้ในของปีกบนหน้าปกอัลบั้มซ่อน Detail ไว้เพียบ 
ดูกันได้นานๆครับ

เปิดด้วยแทร็คบัลลาดป็อบรีฟกีตาร์ติดหูในเพลง Always In My Head น้ำเสียงล้าๆเอื่อยๆเนิบๆ อารมณ์เศร้ามาแต่ไกล ถึงจะเลิกราไปแล้ว แต่เธอก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของชั้น เปิดตัวได้ดีครับ ผมเชื่อว่าอินโทรที่เป็นรีฟกีตาร์น่าจะวนเวียนอยู่ในหัวคุณแน่ๆ




Magic ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยออกมาตอนต้นปี มินิมอลร็อคที่ยังคงความเป็นโคลเพลได้ดีอยู่ ผมชอบการเดินเบสเพลงนี้มากๆ เท่โคตรๆ เสริมด้วยเปียโนทำให้เพลงมีความหนักแน่นไปในตัว ฟังครั้งแรกเหมือนโดนมนต์สะกดสมชื่อเพลงเลย ยิ่งช่วงนั้นกำลังคิดถึงใครซักคน เลยเปิดเพลงนี้แทบจะทุกวัน ส่วนเอ็มวีเป็นภาพขาวดำ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักแสดงมายากลคนนึงที่หลงรักผู้หญิงที่เป็นนักมายากลเหมือนกัน ได้จางซื่อยี่มาแสดงด้วย ดูแล้วประทับใจ






Ink เพลงนี้ป็อบจ๋ามากๆ แต่ดนตรีดูกลมกล่อมดี หนักแน่น ช่วยอุ้มเพลงได้ เพราะไปอีกแบบ แล้วมาต่อด้วยเพลงป็อบจังหวะช้าๆในเพลง 


True Love ชื่อออกแนวโหลเอามากๆ ตอนแรกผมก็เฉยๆนัก เพราะไม่อินกับความรักเท่าไหร่ แต่เพลงมันมีความลึกซึ้งมาก นั่นแหละที่ผมกล้าปฏิเสธไม่ได้ว่าชอบเพลงนี้เข้าแล้ว




Midnight เพลงนี้ปล่อยมาพร้อมๆกับเพลง Magic สร้างเซอร์ไพร์สให้กับแฟนเพลงเป็นอย่างมาก เพราะตัวเพลงไม่มีเค้าความเป็น Coldplay หลงเหลืออยู่เลย ประมาณว่าถ้าฟังเพลงนี้แบบไม่รู้ชื่อเพลงมาก่อน คงจะงงกันว่า ใครร้องวะ ? ตัวเพลงดาร์กมาก น่าจะดาร์กที่สุดเท่าที่วงนี้เคยทำมา และพึ่งautotune กับ electronic ซะเยอะ ไม่มีดนตรีสดให้เห็นเลย ไม่แปลกใจที่คำวิจารณ์จะแตกเป็นสองเสียง ชอบก็ชอบเลย เกลียดก็เกลียดเลยล่ะ เนื้อหาน่าจะมาจากช่วงที่ Chris Martin เพิ่งเลิกรากะแฟนเค้านั่นแหละ เป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย ถาโถมเข้าอย่างจังจึงอยากขอแสงแห่งความหวังบ้าง ผมว่าเพลงนี้ก็โอเคนะ
สำหรับผมเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี

Another’s Arms เพลงนี้โคลเพลย์เริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว ดูเป็นตัวเองมากขึ้น อารมณ์เศร้าๆ เด่นด้วยคอรัสอันโหยหวน ตอกย้ำคนเจ็บที่ แฟนตัวเองกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่นซะแล้ว ท่อนฮุคติดหูดี 
เพลงนี้มีแนวโน้มถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลอย่างแน่นอน

มาต่อกันด้วยเพลงช้า Oceans ชื่อดูอลังกาลแต่ซาวน์ดไม่อลังการอย่างที่คิด 
อคลูสติกเน้นๆ ให้ความรู้สึกเหงา โหยหา




A Sky Full of Stars ซิงเกิ้ลล่าสุดที่งานนี้ได้ร่วมงานกับ Aviici ดีเจที่กำลังฮอตสุดๆจากเพลง Wake Me Up ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกตัวเลยว่า เป็นแฟนคลับตัวยงของวงนี้เลย ซึ่ง Aviici ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก โมโลดี้สวย ประทับใจ เหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึกภายใต้แสงดาวยามราตรีจริงๆ ถึงเพลงจะออกไปในทาง Aviici featuring Chris Martin. ก็เถอะ แต่ผมกลับชอบนะ จะว่าไปแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่มาเบรคความรู้สึกที่เศร้า เหงาเปล่าเปลี่ยวจากแทร็คที่แล้วได้ดีมากๆ จนผมเองไม่อยากให้เพลงนี้จบเลย และสิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างหนึ่งคือ แทร็คนี้มันเป็นจุดเชื่อมโยงกับแทร็คที่แล้วได้ลงตัว เป็นแทร็คเติมเต็มความรู้สึกได้ดีมากๆ รู้สึกว่าแทร็คนี้เพราะเป็นพิเศษ เพราะยิ่งกว่าฟังเพลงนี้แทร็คเดียวโดดๆอีก
 ไม่เชื่อก็ลองดูได้

อีกอย่างนึงผมอยากจะตำหนิคนทำเอ็มวีมากๆ บรรยากาศในเอ็มวีอยู่ตอนกลางวันมันดูขัดกบตัวเพลงมากๆ ดูแล้วไม่อิน แทนที่จะเป็นตอนกลางคืนเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเพลงซะมากกว่า


O  วงนี้เค้าก็ยังชอบเปรียบเปรยกับนกซะเหลือเกิน แทร็คนี้ฟังแล้วรื่นรมย์มากๆ เปียโนมันช่างไพเราะจริงๆ ติดหูด้วยเป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่ให้ความรู้สึกโรแมนติกสุดๆ Fry O Right Through Maybe I Could Fly Right Next To You เพลงยังไม่จบแค่นั้นรอไปอีก 3 นาทีกว่า (คิดไว้ซะว่าดูหนังรอดูตอนต่อไปหลังเครดิตก็แล้วกัน) ซึ่งเพลงที่ปรากฎเป็นท่อนอินโทรของแทร็คแรก Always In My Head นั่นเอง แต่เปลี่ยนมาเป็นการเดินเบสเท่ๆเคล้าด้วยเสียงสังเคราะห์ให้อารมณ์เศร้าๆ ตบด้วยบีทแรงๆ ปังเข้าอย่างจัง แสดงถึงหัวใจแตกสลายลงไปแล้วเรียบร้อย ผมเชื่อว่าทุกคนต้องชอบแทร็คนี้




อัลบั้มชุดนี้ไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดของ Coldplay อย่างแน่นอน ออกแนวตามอารมณ์นักร้องนำซะมากกว่า ซึ่งจะร็อคก็ร็อคไม่ออกซะงั้น ก็อารมณ์มันไม่ให้แต่จุดที่ดีของผลงานชุดนี้คือ เพลงมีความสุขุม หนักแน่น ดูเป็นสุภาพบุรุษดี ไม่ตัดพ้อด้วยวาจาที่รุนแรง มีเหตุผลดี สรุปว่าชุดนี้ผมให้ผ่านครับ ฟังแล้วให้ความรู้สึกเพลิน ถึงไม่ถูกใจสาวกเดนตายของโคลเพลย์มากเท่าไหร่นัก เพราะดนตรีมันน้อยชิ้นก็จริง ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า บทเพลงในงานชุดนี้ลึกซึ้งในเรื่องความรักมากๆครับ รู้สึกดีทุกครั้งที่ผมได้ฟัง ผ่านไป 1 ปีแล้ว ผมยังมีความรู้สึกที่ดีกับผลงานชุดนี้อยู่เลย ทุกแทร็คมันซึมลึกเข้าไปในจิตใจของผู้ฟังโดยไม่รู้ตัว ไอ้ที่ผมบอกว่าชุดนี้ไม่ใช่อัลบั้มที่ดีที่สุดของ โคลเพลย์ นั่นคือเหตุผลทางดนตรี แต่รสนิยมส่วนตัวของผม อะไรที่มันง่ายๆมักจะชนะใจผมเสมอ


ขอให้ฟังแล้วรู้สึกดีกับอัลบั้มชุดนั้นก็พอ ถือว่าดีงามแล้ว


Top Track : A Sky Full of Stars , O , Magic , Another's Arm & Ink

Give (7.5/10)     That's Sound Pretty Good



วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Amethyst - Tinashe (ฉบับสั้นที่สุด)

ไม่ต้องเปล่งประกาย ก็งดงามได้





เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ข้าพเจ้าได้รีวิวผลงานของนักร้องสาวอาร์แอนด์บีสุดเซ็กซี่ Tinashe เธอคนนี้ถือเป็นม้ามืดเลยก็ว่าได้ ซิงเกิ้ลล่าสุด All Hands On Deck ได้กระแสตอบรับดี ถูกเอาไปทำเวอร์ชั่นรีมิกซ์เยอะแยะมากมาย ล่าสุดได้ไปขึ้นแสดงโชว์งาน BET Awards Tribute Janet Jackson เป็นนักร้องสาวที่มีดีไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ในปีนี้เธอปล่อยผลงานมิกซ์เทปที่มีชื่อว่า Amethyst ออกมาให้หายคิดถึงกันสไตล์เพลงค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองมากกว่า Aquarius อย่างแน่นอน แถมอัลบั้มชุดนี้ยังได้รับการขนานนามจาก Complex Magazine ยกให้เป็น Best Album Of 2015 So Far ด้วย ใครว่าอัลบั้มที่อยู่ในสถานะมิกซ์เทป เป็นอะไรที่ด้อยกว่า LP คิดผิดแล้วล่ะ ผมว่ามิกซ์เทปเป็นการโชว์ศักยภาพได้เต็มที่นะ อิสระทางความคิดมากกว่าสตูดิโออัลบั้ม ซึ่งจะต้องทำเพลงให้ถูกใจคอตลาดให้ได้ ในขณะเดียวกันสไตล์เพลงมันจะซ้้ำกับใครรึเปล่าไม่รู้  นั่นคือด้านมืดของอุตสาหกรรมเพลงที่มีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตามใจตัวเองไม่ได้



สัญญาว่านี่คือรีวิวที่สั้นที่สุดจริงๆ เพราะมีแค่ 7 แทร็คเท่านั้น เปิดเพลงแรก Dreams Are Real อินโทรเปียโนมันช่างนุ่มนวลชวนฝันมาก ทีนาเช่โชว์เสียงหลบเพิ่มความเคลิ้มเข้าไปอีก Wrong บีทกลองขึ้นเจ๋งมากๆ เสียงร้องเคล้าออโต้จูน เรื้อยๆ คล้อยไปตามจังหวะเพลง ข้ามแทร็คนี้ถือว่าผิดเลยล่ะ Something To Feel ตัวเพลงอิมแพคแรงจนผมขนลุกเลยล่ะ Looking 4 It เพลงนี้โคตรหลอนเลย แค่อินโทรเปียโนก็กินขาดแล้ว เสียงแหลมของทีนาเช่ช่วยเพิ่มความหลอนได้โดยไม่ต้องอาศัยออโต้จูนแต่อย่างใด บรรยากาศเพลงลึกลับวังเวงๆอย่างนี้ถูกใจข้าพเจ้าเลยล่ะ Wanderer เพลงนี้ข้าพเจ้าชอบเช่นกัน ทีนาเช่โชว์สกิลแร็พได้น่ารักดี ท่อนฮุกละเมียดละมัยดี Worth It เพลงนี้ข้าพเจ้าว่าดูเป็นเพลงตลาดสุดล่ะ ฟังได้เรื่อยๆยังไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่ากับเพลงที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องเป่า Saxophone ปิดท้ายก็ตาม ปิดท้ายด้วยเพลง Just the Way I Like You ใส่ความเป็นไซคลิเดลิกเต็มที่ ซาวน์ดแกว่งๆ เคล้าเสียงร้องเอคโค่ๆ ออกแนวหนวกหูไปนิดนึง แต่ยังดีที่มีเสียงร้องเคล้าคลอบ้างในตอนท้าย




จบไปแล้วสำหรับการรีวิวอัลบั้มในครั้งนี้ บอกแล้วว่ามันสั้นๆจริงๆ ไม่ต้องมีการตีความเพลงอะไรมากมาย ง่ายกว่ารีวิวอัลบั้มเพลงฮิพฮอพมากกว่าเยอะ ขอสรุปเลยก็แล้วกันครับว่า สำหรับใครที่ชื่นชอบเธอคนนี้ จากอัลบั้มชุดที่แล้ว Aquarius คุณต้องชอบมิกซ์เทปชุดนี้แน่นอน ฟังไม่ยากอย่างที่คิด เพลิดเพลินตลอดทั้งอัลบั้มอย่างแน่นอน ผมว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่ LP ชุดนั้นไม่มี สิ่งแรกเลยคือ ซาวน์ดที่แปลกใหม่ที่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า ซาวนด์ชุดนี้อินดี้โคตรๆ และที่สำคัญมีความเป็น unique มากๆ  เธอโชว์อิสระทางความคิดมากขึ้น เพลงเธอจึงดูดีมีสไตล์ แตกต่างจากนักร้องสาวอาร์แอนด์บีคนอื่นแน่นอน นี่แหละไม้ตายเด็ดเลยล่ะ จะว่าไปแล้วอัญมณีสีม่วงที่สาวทีนาเช่มอบให้ คงเป็นของขวัญที่มีค่าสำหรับแฟนเพลงแน่นอน อัญมณีสีม่วงสามารถเปรียบเทียบกับตัวเธอได้เหมือนกันฮะ อัญมณีสีม่วงดูไม่เปล่งประกายฉายออร่าเท่ากับอัญมณีชนิดอื่นเท่าไหร่นัก ก็เหมือนตัวทีนาเช่ที่อาจจะไม่โด่งดังเปล่งประกายเท่ากับซุปตาร์ท่านอื่นๆ 


แต่ก็มีความงดงามในตัวเหมือนกับอัญมณีสีม่วง 


Give 9/10 (Worth It)


Thanks For Reading

See ya