วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] What A Time To Be Alive - Drake & Future

โปรเจคต์ Medium Rare




ตอนแรกที่ข้าพเจ้าได้ฟังเพลง Where Ya At ตอนแรกก็คิดว่า เป็นการแจมปกติ ธรรมดาสามัญทั่วไป ที่ไหนได้ ไม่กี่เดือนผ่านไป Drake ประกาศข่าวใหญ่ทาง Beats1 OVO Sound ว่า ตัวเองมีโปรเจคต์ร่วมกับเฮีย Future ข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นซิครับ มีอะไรใหม่ๆฟังแล้วเว้ย ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่า โปรเจคต์อัลบั้มชุดนี้มันดูฉุกระหุเกินไปมั้ย เฮียเดรกก็เพิ่งปล่อย  Mixtape If You're Reading This , It's Too Late  ไหน LP album View From The 6 ก็กำลังจะมาในปีนี้ ส่วนเฮียอนาคตก็เพิ่งปล่อยอัลบั้ม DS2 มาหมาดๆ โอ้โห มึงจะขยันปล่อยงานเพลงเกินไปละมั้งครัช เอาเป็นว่าเรามาเข้าเรื่องของเราเลยดีกว่าครัชกับ What A Time To Be Alive โปรเจคต์รูปแบบมิกซ์เทปเป็นการแท็คทีมเฉพาะกิจของสองแร็พเปอร์ซุปตาร์ Drake และ Future ซึ่งปี 2015 เป็นปีทองของพวกเขาอย่างแท้จริงครับ ผลงานที่มาผ่านมาของทั้งสองคนประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและคำวิจารณ์ หน้าปกประดับประดาด้วยเพชรเม็ดงามหลายกะรัต ที่มาของปกอัลบั้มนี้ไม่ได้มโนขึ้นเอง  ไปซื้อมาจาก Shutterstock อีกแล้วครับท่าน โดยภาพนี้ถ่ายโดยช่างภาพสาว Kristina Tisi-Krammer ถ้าใครเคยอ่านรีวิว DS2 มาแล้วน่าจะทราบกันดีว่า หน้าปกซื้อมาจากเว็บนี้เช่นกัน ต้องเป็นความคิดของเฮีย Future Hendrix อย่างแน่นอน 

แน่นอนครับว่าการที่ทั้งสองออกโปรเจคต์ร่วมกันนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนเพลงฮิพฮอพทั้งหลาย เพราะอย่างที่บอกทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น งานเพลงก็จัดได้ว่ามีคุณภาพมากพอสมควร สไตล์การแร็พแตกต่างกัน ฝั่งเดรกจะไปทางแร็พอาร์แอนด์บีเมนสตรีม เก่งร้อง เก่งการโหยหวน เสริมท่อนฮุกให้น่าสนใจได้มากขึ้น ส่วนเฮีย Future Hendrix เก่งพล่าม แร็พเมาๆไม่เป็นภาษาคน ดิบๆ เถื่อนๆสไตล์แก็งค์สเตอร์ Trap Rap  เมื่อความไม่ดิบมาเจอกับความดิบมันตัดกันพอดี ถ้าเปรียบเปรยกับสเต็ก คงเป็นสเต็กที่มีความสุกในระดับ Medium Rare นั่นเอง


เปิดอัลบั้มด้วย Digital Dash  Future Hendrix แร็พเปิด สไตล์เพลงเป็นของเฮียอนาคตเต็มๆ บีทมีความวุบวิบแวววับนิดๆสมชื่อเพลง เดรกแจมช่วงท้าย เพลงนี้ต้องการสื่อถึงการเป็นแร็พเปอร์ของทั้งคู่ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น จะมัวรีรอทำเป็นสโลไลฟ์ไม่ได้ซะแล้ว 

สำแดงเดชความเป็นเจ้าแห่งฮิพฮอพของทั้งคู่ในเพลง Big Rings ว่าง่ายๆมันเป็นการเปรียบเปรยคนที่เป็นพระราชาหรือเสี่ยมักจะมีแหวนวงใหญ่เม็ดเป้งๆประดับประดาตามนิ้ว การร่วมงานของทั้งคู่จึงเป็นอะไรที่น่าจับตามอง ยิ่งใหญ่โดดเด่นเหมือนแหวนที่ประดับประดานิ้วไงล่ะครับ เฮียเดรกขอจัดหนักบ้าง สไตล์เพลง Young Money จ๋าเลยล่ะครัช

หลังจากที่ทั้งคู่สนุกสนานกับชีวิตซุปตาร์ เบรคด้วยเพลงจังหวะช้าๆอย่าง Live From The Gutter ที่เนื้อหาออกแนวดราม่านิดๆ ถึงแม้ว่าชีวิตของทั้งคู่อยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ทั้งคู่กลับพบว่าชีวิตจริงนั้นยังมีเรื่องเครียดๆอีกเยอะแยะมากมาย Future Hendrix บ่นระบายชีวิตตอนวัยเยาว์ที่เกิดมาในสังคมสลัมแถบแอตลันตาที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมและยาเสพติด และพยายามถีบตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมเหล่านั้นด้วยการเป็นแร็พเปอร์ ส่วน Drake ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ก็ยังต้องเจอปัญหามากมายอีรุงตุงนังอยุ่ดี เปียโนและบีทเพลงนี้เด่นมากๆ ให้อารมณ์ร่วมสุดๆ Diamonds Dancing  กรูฟเท่ห์อิมแพคแรงๆ อัดด้วยบีทจัดเต็มไม่ยั้งในท่อนฮุก แต่ท่อน Outro เดรกโหยหวนไปเรื่อย ดูยืดยาดไปนิดนึง Scholarship Future Hendrix แร็พได้โดดเด่นสุด บ่นเรื่องร้ายในอดีตที่คอยหลอกหลอนทั้ง เลิกรากับเมียนักร้องสาว Ciara ติดยางอมแงม  มาบริจาคเงินให้กับสาวเต้นในคลับเปลื้องผ้าในเพลง Plastic Bags มาแบบช้าๆ ท่อนฮุกติดหูดีครับ ส่วน I'm The Plug และ Jumpman แร็พย่ำอยู่กับที่มากๆ เพลงหลังออกแนวโปรโมทรองเท้า Air Jordan รุ่น OVO ชัดๆ 




Changes Location อวดร่ำอวดรวยว่าทั้งคู่สามารถซื้อเหล้าและสาวเต้นทั้งคลับเปลื้องผ้าได้ สองแทร็คปิดท้ายโชว์เดี่ยว เริ่มด้วย Jersey เฮีย Future Hendrix แร็พโอ้อวดยกยอตัวเองไปเรื่อย ว่าตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ร่ำรวยมหาศาล ใช้ชีวิตหรูหรา มีแก๊งค์เพื่อนที่คอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ รวมไปถึงการบอกรักเครื่องดื่มโคดีอีนที่ติดจนงอมแงม 30 For 30 Freestyle  เดรกโชว์แร็พเดี่ยวภายใต้เสียงเปียโนไพเราะชิวๆ ได้โปรดิวเซอร์คู่ใจ Noah 40 Shebib มาโปรดิวซ์ให้ ไม่แปลกใจว่ามันละม้ายคล้ายเพลง From Time ถึงจะแร็พฟรีสไตล์ไปเรื่อย ไม่อาศัยท่อนฮุก แต่ก็ฟังเพลินอยู่ไม่น้อย

ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้สึกตื่นเต้นในครั้งแรก แต่โดยรวมแล้ว ตัวเพลงยังให้ความรู้สึกโหลๆ ไม่แปลกใหม่พอ บีทยังคงเดิมๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใดกับโปรเจคต์คู่หูคู่นี้ มีหลายเพลงที่ติดสไตล์ DS2 หลายแทร้คอยู่พอสมควร มันจึงกลายเป็นว่า โปรเจคต์นี้เปรียบเสมือนโปรเจคต์ทำเล่นซักมากกว่า กูสนิทกับมึง เฮ้ยเดี๋ยวเราสองคนมาทำเพลงร่วมกันเล่นๆมั้ย ให้อารมณ์ประมาณนี้เลยครับ ทำเอาสนุก ฉาบฉวย อีกอย่างแทนที่ทั้งคู่จะหยิบจุดเด่นของทั้งคู่มาผสมผสานในงานเพลง กลายเป็นว่าซ้ำร้ายกว่านั้น แต่ละแทร็คมันให้ความรู้สึกเพลงฮิพฮอพทั่วๆไป ไม่โดดเด่น มันคือ Drake Ft. Future , Future Ft. Drake สลับกันไปมาซะงั้น มิกซ์เทปชุดนี้จึงไม่สามารถทำให้ผู้ฟังอย่างผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษมากนัก การปล่อยผลงานถี่ของทั้งคู่จึงมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ฟังจะรู้สึกเฉยๆหรือไม่ตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลงานเดี่ยวชุดถัดไปของพวกเขา จนตั้งความคาดหวังที่มีต่อผลงานชุดต่อไปต่ำไปโดยปริยาย 

ง่ายต่อการถูกลืมโดยใช่เหตุ


Top Track : Live From The Gutter , Diamonds Dancing , Scholarship , Big Rings

Give 6/10








วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] DS2 (a.k.a Dirty Sprite 2) - Future [น18+]

โคดีอีนยี่ห้อ Future พร้อมเสิร์ฟ




Future แร็พเปอร์เจ้าพ่อเพลงแร็พสไตล์ Trap Rap (แร็พติดอ่าง) กลับมาอีกครั้งในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ที่มีชื่อว่า DS2 (a.k.a. Dirty Sprite 2) หลายๆคนอาจจะรู้จัก Future จากการเป็นอดีตสามีของนักร้องสาวอาร์แอนด์บี Ciara แต่แร็พเปอร์รายนี้ก็ออกเดินสายแจมกับศิลปินรายอื่นไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น A$AP Rocky , DJ Khaled , Drake , Meek Mill , The Game , Travis $cott และคนอื่นๆอีกมากมาย สไตล์การแร็พของพี่แกเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องการแร็พจริงๆ โดดเด่นในเรื่องการแร็พไม่รู้เรื่องเนี่ยแหละ 5555 ขืนจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เฮียแกก็แร็พได้ดิบๆเถื่อนๆดี ตั้งแต่เลิกรากับภรรยาเก่า Ciara เนื้อหาเพลงในอัลบั้มชุดนี้ดูจะแรงแบบไม่แคร์สื่อเลยทีเดียว ยังคงฟันสาว ดูด weed ดื่มโคดีอีน นั่งนับเงินไปเรื่อยๆอยู่ร่ำไป สงสัยเพลง I Won กับ Honest จากอัลบั้มชุดที่แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป 

สำหรับ DS2 ชุดนี้มีคอนเซปต์ตรงตัว กูชอบดื่มโคดีอีนกูก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่ออัลบั้ม แค่นั้นจริงๆ แถมชุดนี้เป็นภาคต่อถัดจากมิกซ์เทปชื่อเดียวกันอีกด้วย หลายๆคนคงงว่าไอ้เจ้าโคดีอีนมันคือห่าอะไร มันเป็นสไปร์ทผสมกับยาแก้ไอสีม่วง มันเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของแร็พเปอร์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดียังไง รสชาติยังไง ที่แน่ๆ คล้ายๆยาเสพติดเลยล่ะครับ อยู่ในรูปแบบน้ำ ผลข้างเคียงร้ายแรง เกิดอาการชักหมดสติ ถ้าโชคร้ายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าจำกันได้ เคยมีคนที่ดื่มโคดีอีนแล้วเกิดผลข้างเคียงมาแล้ว อาทิเช่น Lil Wayne ที่มีข่าวเป็นลมหมดสติ เกือบไม่ฟื้นเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่น้ำอัดลมขาว สามารถเจาะตลาดชาวฮิพฮอพได้สำเร็จ


มาพูดถึงงานชุดนี้ดีกว่า DS2 มีอะไรน่าสนใจบ้าง ที่มาของหน้าปกอัลบั้มชุดนี้ เป็นลักษณะหมึกหลากสี ม่วงฟ้าแดงรวมกัน บ่งบอกส่วนผสมของ Dirty Sprite รู้หรือไม่ว่าพี่อนาคตของเราขอซื้อต่อจากเว็บ shutterstock เว็บขายภาพออนไลน์ ซึ่งราคาอยู่ในช่วง 0.33 ถึง 80 ดอลล่าร์ ตามขนาดของภาพ เจ้าของภาพนี้เป็นศิลปินสาวชาวโซเวียตที่ชื่อว่า Sanja Tošić ซึ่งเธอได้รวบรวมภาพนี้ไว้ในคอลเลกชั่น Silk Collection ตอนแรกเธอไม่รู้จักและไม่เคยฟังเพลงของ Future ด้วยซ้ำ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจซื้ออัลบั้มชุดนี้จนได้ กลายเป็นว่าเธอคนนี้กลายเป็นแฟนเพลงของนายอนาคตไปโดยปริยาย แฟร์ดีครับ ถ้าหยิบภาพของคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของภาพ ก็อาจจะโดนฟ้องร้องได้ในที่สุด

แขกรับเชิญในชุดนี้มีแค่ Drake เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ต่างจากชุดที่แล้วที่มีแขกรับเชิญมาร่วมแจมเกือบทุกเพลง คราวนี้พี่แกขอโชว์เดี่ยวเต็มๆบ้าง สิ่งที่อัลบั้มชุดนี้แตกต่างจากชุดที่แล้ว Honest ก็คือ ซาวน์ดไม่กระโชกโฮกฮากแบบชุดที่แล้ว ใครที่หวังว่าชุดนี้จะเน้นมันส์ อาจผิดหวังก็ได้ เพราะชุดนี้มาแบบเนิบๆเรียบง่าย บีทนุ่มลึก ฟังเพลิน เพิ่มความเป็นไซคลิเดลิกเข้าไป เลยให้ความรู้สึกเรียบง่ายแบบแปลกๆ ไม่แบนราบเสียทีเดียว แต่ยังไม่ทิ้งลายความเป็น Hip hop Gangster และที่น่าภูมิใจยิ่งกว่านั้นคือ เฮียอนาคตไม่พึ่งออโต้จูนแล้วครัชท่าน แร็พเน้นๆไม่พึ่งเทคนิคพิเศษ พัฒนาไปอีกเสต็ป โปรดิวซ์เองเกือบทั้งหมด ไม่พึ่ง Mike Will Made It อีกต่อไป 

เปิดแทร็คด้วย Thought It Was Drought อินโทรเสียงดูดโคดีอีนชัดมาก แร็พพรึมพรำไปเมาไป มีซาวนด์หยดน้ำประกอบเล็กๆน้อยๆ  เรียกฐานแฟนเพลงด้วย I Serve The Base ซาวน์ดบดขยี้เอี๊ยดแอ๊ดนิดๆ แต่ไม่หนวกหู 

Where Ya At แร็พติดหูดีครับ แร็พตามได้ไม่ยาก เพราะแม่งมีแต่ Where Ya Ass At ประโยคแรก แล้วเฮียเดรกก็บ้าจี้ Where Ya Ass At ตามซะงั้น ตอนแรกที่ผมฟังก็รำคาญ มึงอยู่ไหน มึงอยู่ไหน ซ้ำไปซ้ำมา แต่ฟังไปเรื่อยๆมันเป็นเพลงที่ไม่แย่อย่างที่คิด ฟังทุกครั้ง แอบโยกหัวตามเพลงเฉ๊ย เพิ่มความมันส์อีกด้วย Groupies แร็พแบบเถื่อนๆแก๊งส์เตอร์ๆ  กูเลิกกับเมียแล้ว กูซ่าส์หาหญิงอื่นได้ แม่งไม่แคร์สื่อจริงๆเพลงนี้  



Stick Talk อันนี้ก็ชอบ บีทมันส์ ซาวน์ดเข้มกำลังพอดี เถื่อนๆดิบๆ ออกแนวนักเลงถือปืน พร้อมประจัญบาน Freak Hoe อันนี้ออกแนวไร้สาระปัญญาอ่อนนิดนึง ผู้หญิงร่านใส่ก็เอามาเป็นเพลงได้ อ๊ะแตะตัว อ๊ะแตะตูด ส่ายก้นให้ดูหน่อยดิ โค้กวางอยู่บนโต๊ะ เอาไปดื่มได้ เอ้ย ไม่ใช่แหละ หารถแพงๆขับซะหน่อยในเพลง Slave Master เพลงนี้ตอนท้ายไว้อาลัยให้เพื่อนสนิทที่จากไปอย่าง A$AP Yam อีกด้วย




Blow A Bag ซาวน์ดหวือหวาใช่ย่อย บีทว๊าบไปว็าบมา มีมิตินูนขึ้นมานิดๆ ท่อนสองแร็พแอบรัว เท่อยู่ไม่น้อย Colossal ซาวน์ดเปียโนหรูหรา ฟังแล้วรื่นรมย์ รวยเละแล้วขอสาวๆมาอยู่บนตัวในเพลง รวยเซ็กส์ Rich $ex 

ปิดท้ายแทร็คแสตนดาร์ดเวอร์ชั่นด้วยเพลง Blood On My Money โทนเพลงจริงจัง  กูอยากได้เงินทุกวิถีทาง แม้จะแลกด้วยเลือด กูก็ยอม 


ส่วนแทร็คแถมก็มี Trap Niggas ฟังผิวเผินดูเป็นเพลงแท็ปแร็พทั่วๆไปที่พูดถึงคนที่ชอบฟังเพลง Trap Rap แต่งตัวตามแฟชั่นฮิพฮอพมั้ง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดเลยล่ะ ถ้าดูเนื้อหาแล้ว เพลงนี้ Future ต้องการให้กำลังใจคนที่กำลังหาเงินด้วยตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นแมงดา สาวนักเต้น หรือเด็กเสิร์ฟอาหารก็ตาม ก็ขอให้พระองค์คุ้มครองพวกเขาด้วย สาระเริ่มมาละเว้ย  


ต่อด้วยเพลงช้าๆชิวๆเนิบๆเรื่อยๆในเพลงชื่อย๊าวยาวอย่าง The Percocet & Stripper ได้แรงบันดาลใจจากการอัพยาเข้าคลับเปลื้องผ้า ในเอ็มวีก็ชัดเจน นอนเกลือกลิ้งอยู่กับสาวโป๊นุ่งน้อยห่มน้อยทั้งหลาย พร้อมด้วยขวดยาวางบนโต๊ะ






Kno The Meaning โทนเพลงมาแบบเงียบๆ เดินเพลงด้วยเปียโนเดี่ยวๆ ให้โทนจริงจังมากกว่าเพลงอื่น แต่งจากเรื่องจริงที่เพื่อนสนิทอย่าง DJ Esco ต้องนอนในคุกเป็นเวลามากกว่า 56 คืนในเมืองดูไบ ข้อหาพกกัญชา

ปิดท้ายด้วยซิงเกิ้ลแรกที่ดันเป็นเพลงแถมปิดท้ายอัลบั้มอย่าง Fuck Up Some Commas เพลงแท็ปแร็พบีทมันส์ๆ แร็พติดอ่างเมาไปแร็พไป ยิ่งท่อนสามกูฟังไม่รู้เรื่อง กูรวยแล้วกูจะใช้แหลก ไม่สนว่าจะพันจะหมื่นจะแสนอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกังวลว่า จำนวนเงินที่มึงใช้ไปจะมี comma คล่อมเลขกี่ตัว ถ้าทำตามคำแนะนำของเฮียอนาคต ระวังมึงจะจนในอนาคตนะครัช


เท่าที่ผมฟังชุดนี้ตั้งแต่แทร็คแรกยันแทร็คสุดท้าย ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดของแท้เลยล่ะครัช กูฟังไม่รุ้เรื่องเว้ยว่ามันแร็พห่าอะไร อันนี้ผมเข้าใจ คนที่ฟังเพลงของเฮียอนาคตมักจะเจอปัญหาแบบนี้แทบทุกคน ถ้าไม่ถือสาเรื่องการแร็พไม่รู้เรื่อง ก็ฟังไปแบบไม่คิดมาก แต่ถ้าถือสาก็คงสาปส่งเฮียอนาคตอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมสัมผัสได้จากงานชุดนี้คือ อย่างน้อยการแร็พของพี่แกก็ไม่ใช้ Ghostwriter มาแต่งเพลงให้แต่อย่างใด การแร็พของพี่แกออกแนวด้นสดอย่างเห็นได้ชัด แร็พไม่ต้องพึ่งออโต้จูน แร็พของพี่แกเลยดูสด ดิบๆ ในแบบฉบับของพี่แก  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เสียศักดิ์ศรี

สิ่งที่ผมชอบมากๆในอัลบั้มชุดนี้คือ เฮียอนาคตของเราสามารถทำให้คนฟังอย่างผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความมึนเมาโคดีอีนโดยไม่รู้ตัว ทั้งการแร็พที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนกูฟังคนเมาแร็พ บวกกับซาวน์ดเพลงที่มาแบบ Psychedalic  เล่นบีทและตัวโน้ตแบบไม่ตายตัว บิดพริ้วตามใจชอบ ไม่เป็นไปตามทฤษฎีดนตรีทั่วๆไปที่ตัวโน้ตจะเรียบเรียงเป็นสเต็ปๆแบบตายตัว ซึ่งมันก็เป็นไปตามบริบทของคอนเซปต์อัลบั้มชุดนี้จริงๆครับ ถ้าคุณเสพผลงานชุดนี้ ซาวนด์ในเพลงเหล่านั้นมันจะค่อยๆซึมซับเราไปอย่างช้าๆ ทำให้เราติดใจไปโดยไม่รู้ตัว เป็นอัลบั้มแร็พที่เล่นกับความรู้สึกของคนฟังได้อยู่หมัดจริงๆ นี่แหละคือ จุดแข็งของอัลบั้มชุดนี้ 


จุดเสียแน่นอนครับอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้แล้ว นั่นก็คือ กูฟังมันแร็พไม่รู้เรื่องเว้ย เนื้อหาค่อนข้างวนเวียนอยู่กับเรื่องดื่มลีน โคดีอีน โด๊พยา ดูดกัญชา เคล้านารีอยู่นั่นแหละ ไร้สาระสิ้นดี
 หากคุณไม่ยึดติดกับข้อเสียเหล่านี้ ชุดนี้ก็ฟังเพลิน ได้เรื่อยๆในระยะยาว ถูกใจคอฮิพฮอพได้ไม่ยาก


ผู้เขียนขอยืนยันว่าไม่ได้เมาไปรีวิวไปอย่างแน่นอน 


Top Track : Groupies , Blow A Bag , I Serve The Base , Where Ya At , Stick Talk Blood On My Money , Kno The Meaning

Give 7/10      (Meet the drunken experience)






วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

รีวิวอัลบั้ม Rodeo - Travis $cott (พอสังเขป)

Did he win? Will he survive the Rodeo?







สตูดิโออัลบั้มชุดแรกอย่างเป็นทางการของแร็พเปอร์แห่งเมืองเท็กซัส Jacques Webster (a.k.a Travis $cott) ในชื่อสุดเท่ห์ว่า Rodeo ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็นคาวบอยผจญภัยแสวงโชคอยู่ในวงการฮิพฮอพนั่นเอง ผมรู้จักหมอนี่มาจากเพลงแจม Company ของ Drake ผมติดใจกับสไตล์เถื่อนๆดาร์กๆแบบนี้ เลยหันมาสนใจอัลบั้มชุดนี้  ผมได้อ่านประวัติของแร็พเปอร์รายนี้ โปรไฟล์ไม่ธรรมดา เป็นทั้งเด็กปั้นของ T.I (ซึ่งพี่แกก็ช่วย narrative บอกเล่าเรื่องราวของ Rodeo ในหลายๆเพลงด้วย) เป็นโปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังอภิมหาโปรเจคต์ Cruel Summer ของค่ายเพลง G.O.O.D Music สำนักของแร็พเปอร์ซุปตาร์ Kanye West มีส่วนร่วมหลายเพลงด้วยกันไม่ว่าจะเป็น To The World , The Morning and Don't Like และได้แร็พแจมในเพลง Sin City ซึ่งบรรจุอยู่ในอัลบั้มชุดนี้อีกด้วย รวมไปถึงการไปแจมเล็กๆน้อยๆและอยู่เบื้องหลังอัลบั้ม Yeezus ของคานเยอีกด้วย หลังจากที่อัลบั้ม Yeezus ถูกพูดถึงอย่างมาก ทราวี่ก็ไม่รอช้า ปล่อยมิกซ์เทปออกมาสองชุด Owl Pharaoh และ Days Before Rodeo สองชุดนี้มีกระแสตอบรับที่ดี ในที่สุดทราวี่ก็ได้ฤกษ์ปล่อย Rodeo ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิเสียที


สไตล์เพลงในอัลบั้มชุดนี้มีความหลากหลาย ทั้ง Trap Rap , Pop Rap , Southern Hip hop ตัวเพลงมีความแปลกใหม่ ดิบเถื่อน มีการใช้เทคนิคเสียงเอคโค่ลงบนงานเพลงด้วย เทคนิคนี้ทำให้ผมนึกถึง A$AP Rocky อยู่ไม่น้อย ทรงผมก็คล้ายๆกัน แต่ไม่ก๊อบซะทีเดียว ของ A$AP Rocky จะออกแนวหลอนๆไม่ค่อยพึ่งออโต้จูน แต่ของทราวี่จะออกไปทางดิบๆเถื่อนๆ แต่อาศัยออโต้จูนหนักมากกก ใครที่เกลียดเสียงร้องสังเคราะห์เป็นทุนเดิม น่าจะหยีกับอัลบั้มชุดนี้ ผมเองก็แอบรำคาญบางเพลงอยู่เหมือนกันฟีลแร็พมาแบบเรียบๆ แต่เสือกมีออโต้จูนบิดเสียงร้องขัดใจเล็กน้อย 




แทร็คที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นซิงเกิ้ลแรกอย่าง 3500 Trap Rap (แร็พติดอ่าง) ท่อนฮุกแม่งโดน ออโต้จูนพองาม ใช้เทคนิคเอคโค่ได้ถูกที่ถูกเวลา ฟังแล้วรู้สึกสะใจ โดยเฉพาะเสียงพูด Straight Up เท่โคตรๆ แขกที่มาแจมก็ทำหน้าที่ได้ดีนะอย่าง  แอบขำ Future แร็พเปิดอินโทรอย่างกะหลวงพี่ท่องบทสวด แร็พห่าอะไรกูฟังมันไม่รู้เรื่อง แต่ Verse 2 เฮียแกก็แร็พโอเค แต่กูฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ส่วน 2 Chainz ก็งั้นๆไม่มีไรมาก ยาวตั้ง 7 นาทีแต่ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด ชิวๆ Oh My Dis Side ถึงจะ Oh my Oh my เยอะไปหน่อยช่วงกลางเพลงที่ได้ Quavo จากทรีโอ้กรุ๊ป Migos มาแจมก็มันส์ไม่น้อย


90210 (ไม่ได้ใบ้หวย) มาแบบแปลกๆ หลอนช่วงแรกๆแต่ดันมีตบด้วยจังหวะเปียโนสบายๆก่อนปิดเพลง แร็พดีนะแต่แม่งจะเอาออโต้จูนมาแทรกทำห่าไรว่ะ แร็พกำลังโอเลย ผู้หญิงที่มาช่วยร้องถือว่าช่วยเพลงได้เยอะจริงๆ มันทำให้แทร็คนี้โดดเด่นขึ้นมาทันที


Pray For Love ได้ The Weeknd มาร่วมแจมในท่อนฮุก ตานี่ก็ใช้ออโต้จูนช่วยเหมือนกัน แต่เข้าคอนเซปต์เพลงดี ออกไปทางงานสวด ยังดีที่ได้ฟังเสียงจริงของเอเบลมาแร็พในท่อน 3 ด้วย ไม่เสียเปรียบอย่างที่คิด แต่ที่เสียเปรียบสุดๆคงหนีไม่พ้น Kanye West ที่มาร่วมแจมในเพลง Piss On My Grave ต่างหาก แร็พเปอร์ระดับบิ๊กเสือกมาแร็พซ้ำคำ วนเวียนอยู่นั่นแลหะ กูจะถ่ม กูจะถ่มน้ำลายใส่โลงศพมึงอยู่นั่นแหละ น่าผิดหวังสิ้นดี
Maria I'm Drunk ได้ Young Thug มาร่วมฟีท เป็นคู่ที่เคมีตรงกันโคตรๆ เป็นเพลงดาร์กที่เจ๋งที่สุดในชุดนี้แล้ว ซาวน์ดเปียโนโดดเด่นมาก ให้อารมณ์ร่วมสุดๆ เมาได้ที่ ไอ้สองคนนี้เข้ากันได้ดีมาก จัสติน บีเบอร์ กลายเป็นส่วนเกินของเพลงนี้ไปเลย เพลงแถมอย่าง Ok Alright ได้ SchoolBoy Q มาร่วมแจม สร้างสีสันได้ดีเช่นเคย


เพลงเดี่ยวที่ดูดีที่สุดคงหนีไม่พ้น Antidote ซิงเกิ้ลล่าสุดที่ร้องเดี่ยวแร็พเดี่ยวเน้นๆ อารมณ์เพลงเหม่อลอย เคลิ้มเหล้าเมากัญชาสุดๆ ฟังเพลิน

ถือเป็นการเริ่มต้นที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่เสียตรงที่มันเป็นเพลงที่ฟังเอามันส์เท่านั้น ยังเติมเต็มความรู้สึกของคนฟังไม่มากพอ ว่าง่ายๆเป็นงานฟังเอาฉาบฉวยนั่นเอง หากเจ้าทราวี่ยังขายสไตล์นี้อยู่ คนฟังคงเบื่อตายแน่นอน ออโต้จูนบางทีก็มากเกินจนน่ารำคาญ บางเพลงที่ยกเว้นเช่น Pray For Love , Antidote , Maria I'm Drunk อันนี้ใช้ออโต้จูนได้ตรงจุดเพราะ บริบทเพลงมันให้ แต่บางเพลงที่ควรจะโชว์สกิลแร็พของตัวเองเต็มที่ ก็เสือกใช้ออโต้จูนซะงั้น แถมบางเพลงแร็พแบบสิ้นคิดไปนิดนึง ซ้ำคำเยอะมาก วนเวียนอยู่นั่นแหละ ไม่ไปไหนซักที ถึงอัลบั้มชุดนี้จะมีดนตรีที่แปลกใหม่ ฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้น แต่ไส้ในกลวง เนื้อหาแทบไม่มีอะไรเลย แถมใช้ตัวช่วยเยอะ เลยดูไม่น่าจดจำมากนะสำหรับอัลบั้มชุดนี้

เอาเป็นว่าเจ้าแร็พเปอร์โรดิโอรายนี้ยังพอไปต่อในวงการนี้ได้ หากแก้ไขจุดบกพร่องดังกล่าวได้

Top Track : 3500 , Maria I'm Drunk , Antidote

Give  5.5/10



วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Beauty Behind The Madness-The Weeknd


ความป็อบที่ซ่อนไว้ในความดาร์ก





เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามันเป็นช่วงที่ข้าพเจ้ามีความสุขมากๆ เป็นเดือนของการเสพผลงานใหม่ของศิลปินที่ข้าพเจ้าชื่นชอบอย่างแท้จริง ต้นเดือนผมได้ฟัง Compton ผลงานชุดสุดท้ายสั่งลาการเป็นแร็พเปอร์ของ Dr.Dre อัลบั้มเพลงป็อบของศิลปินหญิงคุณภาพ Carly Rae Jepsen อย่าง EMOTION  และในที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้เสพผลงานชุดใหม่ของ The Weeknd ซักที เวลาผ่านไปไวมากจริงๆ 

เข้าเรื่องของเราเลย Beauty Behind The Madness สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของนักร้องหนุ่มฮิปสเตอร์อาร์แอนด์บีชาวแคนาเดียน The Weeknd ชื่อจริง Abel Testfaye เป็นอีกหนึ่งนักร้องที่น่าจับตามองมากๆในยุคนี้ ด้วยน้ำเสียงแหลมบาดใจคนฟังเทียบเคียงได้กับราชาเพลงป็อป Michael Jackson สไตล์เพลงสุดดาร์กล้ำลึกถึงด้านมืดของมนุษย์จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวของหมอนี่ไปซะแล้ว ถ้าได้ยินชื่อนายสุดสัปดาห์ สันนิษฐานได้เลยว่า ความดาร์กมาตั้งแต่ไกลแน่นอน ผลงานรีมาสเตอร์มิกซ์เทป 3 แผ่น Trilogy (Chapter 1 ตามที่นายเอเบลบอก) หนังตอนแรกตอนนี้เปรียบเสมือนหนังฟิล์มนัวร์ภาพขาวดำ ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดาร์กและแรงแบบสุดตรีนนนน ไม่มี Bright Side หลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว เพลงของเอเบลว่าด้วยเรื่องกิเลสตัณหา ไลฟ์สไตล์สุดแสนอันตราย เมายา ปาร์ตี้ เคล้านารี ตัดพ้อหญิงแบบไร้ปราณี Trilogy จึงเป็นซิกเนอเจอร์ของนายสุดสัปดาห์ไปโดยปริยาย ถ้าอยากรู้ว่าผมพูดถึงอัลบั้มชุดนี้อย่างไร ไปลองอ่านดูก่อนแล้วค่อยกลับมาได้ครับ >>>> http://pantip.com/topic/34090960

หลังจากที่ชีวิตวัยรุ่นเมายาเคล้านารีใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงที่บ้านเกิด Toronto แล้ว ตอนต่อมา Kiss Land (Chapter 2) ออกไปเปิดหูเปิดตาท่องเที่ยวราตรีในเมืองอื่นบ้าง ตอนนี้ลดความดาร์กลงมานิดนึง ลดจนทำให้ผมรู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ หนังตอนนี้จึงเปรียบเสมือนหนังเรต NC-17 ถึงแม้ว่าดาร์กน้อยลง แต่ความยั่วยวนของเพลงดูไม่ลดลงเลย ไม่ต่างอะไรกับหนังเอวี ลดเลี่ยนจากความดาร์กลงได้บ้าง แต่หนังตอนนี้ดำเนินเรื่องอืดจนผมเกือบหลับเหมือนกันครับ เผื่อใครที่ตามไม่ทันไปดูในลิ้งค์นี้ได้เลย >>> http://fungpaifungmabyistyle.blogspot.com/2015/07/kiss-land-weeknd-18.html

มาถึงตอนสุดท้ายปิดท้าย Chapter 3 :  Beauty Behind The Madness หนังตอนนี้ก็เพิ่มความดาร์กจาก Kiss Land มานิดนึง เพิ่มสาระเข้าไปบ้าง หลังจากที่พี่แกวนเวียนอยู่กับหญิงยาปาร์ตี้มาสองอัลบั้ม คราวนี้พี่แกคงตรัสรู้แล้วล่ะว่า Lifestyle อันตรายแบบนี้ อาจจะมาทำร้ายตัวเองได้ในไม่ช้า ในอัลบั้มชุดนี้เราจะได้เห็นนายสุดสัปดาห์ในมุมที่แตกต่างออกไป มีความเป็น positive thinking หลงเหลืออยู่บ้าง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาพี่แกเคยมีไลฟ์สไตล์ที่ยุ่งเหยิง ใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องผิดบาปมาเยอะ แต่พี่ก็มีหัวใจที่จะรักใครซักคนได้เช่นกัน นี่แหละครับคือคอนเซปต์ของอัลบั้มชุดนี้ แน่นอนครับว่าอัลบั้มชุดนี้นายสุดสัปดาห์เบนเข็มสู่เมนสตรีมอย่างแน่นอน

สังเกตได้จากเพลงเปิดตัวแทร็คแรก Real Life ที่นายเอเบลได้เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่แท้ๆที่คอยเตือนให้นายเอเบลหลีกเลี่ยงไลฟ์สไตล์สุดแสนอันตรายเหล่านั้น ก่อนที่จะมาทำร้ายตัวเองในภายหลัง ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อินโทรเปิดเพลงโคตรพีค แต่น่าเสียด่ายตรงท่อนฮุกที่น่าจะทำได้พีคมากกว่านี้ มันดูดรอปๆไปหน่อย 




Losers มาแนวป็อบเพลงแรกประจำชุดนี้ เจือด้วยอิเล็กโทรนิกส์ป็อบสุดล้ำ ไม่โหลซักทีเดียว ได้ Labrinth นักร้องหนุ่มอาร์แอนด์บีอิเล็กโทรนิกส์ชาวอังกฤษ เล่าเรื่องถึงชีวิตวัยรุ่นในอดีตของเอเบลที่ดรอปเรียนตอนอายุ 17 เพื่อมาทำงานเพลงผลักดันตัวเองให้จงได้ สุดท้ายฝันก็เป็นจริงจนได้





แฉตัวเองแบบหมดเปลือกในแบบสบายๆดูเป็นกันเองในเพลง Tell Your Friends ที่ได้ Kanye West มาเป็นโปรดิวเซอร์เพลงนี้ด้วย จะเห็นได้ว่าคานเยคงติดสไตล์มาจากอัลบั้ม My Beautiful Dark Twisted Fantasy มาแน่ๆ เปิดอินโทรร็อคเข้มๆ แล้วตบด้วยซาวน์ดออโต็จูนอันบิดๆเบี้ยวๆกลางเพลง ปิดท้ายด้วยริฟกีตาร์เจ๋งๆอีกที




Often Lead Single เก่ามากตั้งแต่ปีที่แล้ว จำได้พี่แกใจดีมากปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรีผ่าน soundcloud  ข้าพเจ้าแอบภูมิใจนิดๆที่ได้ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ทัน เพลงแมร่งเจ๋งจริงๆ มาแบบดาร์กๆยั่วยวนใช่ย่อย ทำให้นึกถึง Trilogy อยู่ไม่น้อย เพลงนี้ถูกขนานนามให้เป็นเพลงที่เจ๋งที่สุดประจำปีที่แล้วซะด้วย หน้าปกซิงเกิ้ลโคตรแรง คลิ๊กดูได้ >>> http://images.rapgenius.com/d80e4b85a723601cbaa1ae1a9f2c98ce.1000x1000x1.jpg



ดาร์กต่อเนื่องด้วยเพลง The Hills ซิงเกิ้ลแรกอย่างเป็นทางการของชุดนี้ (ชื่อเก่าว่า Mood Music) เปิดด้วยบีทแรงๆกระแทกหูใช่เล่น เพลงนี้มีประเด็นให้ซุบซิปเยอะพอสมควร ไม่ใช่เพราะเนื้อหาแรงเพียงอย่างเดียว แต่ท่อนแรกของเพลงนี้โยงไปถึงสาวผู้ต้องสงสัยสองรายอย่าง Ariana Grande ที่เคยร่วมงานกันในเพลง Love Me Harder กับ นางแบบสาว Bella Hadid  ที่มีข่าวลือเดตกันลับๆด้วย (เธอคนนี้กำลังจะเป็นตัวละครคนสำคัญของอัลบั้มชุดนี้ครับ)

Acquainted ลดความดาร์กลงจากเพลงที่แล้ว เป็นการบอกตรงๆว่า ไม่อยากผูกมัดกับใคร พี่เป็นผู้ชายลั๊ลลา รักสนุกไปวันๆ เพลงนี้ไม่มีอะไรมาก ไม่ต่างจากเพลงอาร์แอนด์บีทั่วๆไป 


Can't Feel My Face เพลงอินเลิฟสไตล์นายสุดสัปดาห์ ที่ทำให้คนฟังได้เห็นมุมอ่อนโยนของหนุ่มคนนี้ ได้ Max Martin มาช่วยโปรดิวซ์ให้ ถือเป็นเพลงป็อบฟังก์ชั้นเยี่ยมที่ทุกๆคนสามารถโยกย้ายส่ายสะบัดได้ เป็นมิตรกับวิทยุ ไม่แปลกใจที่เพลงนี้ได้ขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ต แทร็คนี้เมนสตรีมและ Bright Side ที่สุดในชุดนี้

เบรคเพลงหนักๆด้วย Shameless มาในแนวอคลูสติกสบายๆ ป็อปจ๋าสุดๆเลยล่ะครับ ทำให้นึกถึง Rolling Stones อยู่ไม่น้อย แต่เพลงนี้ทำได้ดีกว่าครับ Earned It เพลงประกอบหนัง 50 Shades Of Grey ก็เอามารวมชุดนี้จนได้ หลายคนคงรู้แล้ว ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน


In The Night สไตล์คล้ายๆ Micheal Jackson ชัดๆ เพลงนี้โคตรชอบ เสียงสูงๆมันคล้อยตามจังหวะเพลงลงตัวมากๆ ถึงเพลงจะมีจังหวะสนุกๆก็จริง แต่เนื้อหาแรงได้โล่ห์เลยล่ะครับ ข้าพเจ้าขอเรียกเพลงนี้ว่า ซิลเดอเรล่า เวอร์ชั่นนังโสก็แล้วกันครับ As You Are นี่ก็โดน จังหวะช้าๆน้ำเสียงละเมียดละไม ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์แบบวัน ไนท์ แสตนด์ ที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก 



สามแทร็คสุดท้ายเป็นแทร็คที่หลายคนรอคอยแน่ๆ เริ่มจาก Dark Times ที่ได้ Ed Sheeran มาร่วมแจมด้วย เป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สข้าพเจ้าอย่างแรก ดูเหมือนว่าสไตล์ของทั้งคู่ต่างกันสุดขั้ว  เจ้าของเพลงมาแบบดาร์กไซด์ ส่วนแขกที่มาฟีทก็ดูป็อบๆไม่แบดบอยเหมือนเจ้าของเพลง แต่กลับกลายเป็นว่า แทร็คนี้มันลงตัวอย่างน่าแปลกประหลาด สามารถหยิบจุดแข็งของทั้งคู่มาประสานเป็นหนึ่งได้  ไม่ว่าจะเป็นการดีดคอร์ดของเอ็ดตอนเปิดเพลงบวกกับเอคโค่หลอนๆของเอเบลมันสามารถทำให้เพลงอคูลสติกใสๆกลายเป็นเพลงดาร์กได้  ทักษะการแต่งเพลงของทั้งคู่ก็ถือว่าใช่ เอ็ดแต่งเพลงได้ฉลาดมากๆโดยใช้เรื่องราวของเจ้าของเพลง แทนที่จะเป็นเรื่องราวของตนเอง (ว่าง่ายๆแต่งเพลงด้วยกันนั่นแหละ) อีกอย่างนึงท่อนฮุกเนื้อหาก็ดี แม่ของเราเนี่ยแหละจะคอยปลอบประโลมให้เราผ่านช่วงเวลาอันมืดมิดได้ โอ้โห โดนว่ะเฮ้ย ถือเป็นการร่วมงานครั้งสำคัญที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่แย่งซีนกันไปกันมา นี่แหละที่โคตรชอบ



Prisoner อันนี้ก็ตื่นเต้นสุดๆ เพราะได้ Lana Del Ray มาแจมด้วย ทำไมถึงตื่นเต้น ก็เพราะว่า เพลงนี้เป็นเพลงในอุดมคติของข้าพเจ้าเลยล่ะครับ นักร้องสาวที่สามารถไปอยู่ในเพลงของ The Weeknd ได้คือเธอคนนี้เท่านั้น เพลงนี้ตอกย้ำช่วงชีวิตมืดแปดด้านของแทร็คที่แล้วได้เป็นอย่างดี เพลงที่แล้วใช้แขกคุ้ม เพลงนี้ก็เช่นกัน ทั้งคู่ต่างแชร์ชีวิตในอดีตที่เสพติด ยา ชื่อเสียง เซ็กส์ จนเกือบถลำตัวเองไปอยู่ในคุกแห่งกิเลสตัณหาจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงเพลงจะดูป็อบซอฟต์ๆนิดนึง แต่ก็ดีระดับนึงครับ ถ้าแม่นางลานนาไปแจมกับเอเบลในสมัย Trilogy เพลงออกมาจะเพอร์เฟ็คกว่านี้

ปิดท้ายด้วย Angel อีพิคแทร็คยาวมากสุดถึง 6 นาทีกว่า เปิดด้วยซาวน์ดป็อบยุค 80 ให้ฟิลวินเทจ เท่ห์ใช่เล่น เป็นแทร็คปิดที่ positive thinking อยู่เหมือนกัน เป็นเพลงอกหักที่ไม่ใช่การด่าตัดพ้อเหมือนเพลงก่อนๆ แต่เป็นการชื่นชมว่าเธอคนนี้ดีดุจเหมือนนางฟ้า แต่ถ้าจะมาคบพี่ซึ่งเป็นคนที่ทำบาปมาทั้งชีวิตก็ไม่ดีพอสำหรับเธอ ขอให้เธอเจอคนที่ดีกว่าน่าจะดีกว่า โอ้โห ซึ้งสวดยอด ปิดอัลบั้มได้สมศักดิ์ศรี 


จบไปแล้วสำหรับการรีวิว 14 แทร็คเต็มๆที่ข้าพเจ้านั่งพิมพ์อย่างเมามันส์ สรุปคร่าวๆว่าหนังตอนที่สาม ปิดไตรภาคชุดนี้ยังคงรักษาคุณภาพความเป็นฮิปสเตอร์อาร์แอนด์บีได้ดี นายสุดสัปดาห์สามารถทำให้คนฟังคล้อยตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซาวน์ดเพลงอย่างที่บอกไว้ข้างต้น เพิ่มความดาร์กจาก Kiss Land มานิดหน่อย เพิ่มความเป็นป็อบเข้าไปให้ดูกลมกลืนกับตลาด เนื้อหาก็เพราๆ ลดความแรงลงเยอะ ถ้าไม่ติดใจเรื่องเนื้อหา ไม่จำเป็นต้องติด explicit ทุกแทร็คก็ได้ เพราะเพลงไม่มีคำหยาบคายให้เห็นเลย และเพลงบางเพลงก็ดูเป็นมิตรกับวิทยุด้วยซ้ำ ถ้าหากเปรียบ Trilogy เป็นหนังฟิล์มนัวร์ Kiss Land หนังเอวี ส่วนหนังตอนที่สามตอนนี้เปรียบเสมือนหนังเรต R ซะมากกว่า มีคำหยาบคายบางเพลง เป็นเพลงดาร์กทำออกมาได้ซอฟต์ลงเอาใจตลาด เข้าถึงง่ายมากขึ้น ไม่เลี่ยนจนเกินไป ฟังได้เรื่อยๆในภายภาคหน้า อาจจะไม่ถูกใจกับสาวกเดนตายที่เคยยกย่อง Trilogy ว่าดีที่สุด แต่นี่คือการเปลี่ยนแปลง ความคิดของคนโตขึ้น เนื้อหาเพลงก็ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตามนายสุดสัปดาห์ได้ฐานแฟนเพลงที่เพิ่มขึ้น มากกว่าเสียฐานแฟนเพลงซักด้วยซ้ำ


ความสามารถของ The Weeknd ยังคงขายได้อยู่ดี


Top Track : Often ,  In The Night ,  Dark Times , As You Are , Angel


Give 8/10 [ (Trilogy + Kiss Land) / 2 = BBTM]