วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Recovery - Eminem

เจอทางสว่าง





ตามที่สัญญากันไว้ว่า ภายใต้ Hashtag #turnbackto2010 ผู้เขียนจะนำรีวิวอัลบั้มปี 2010 มาให้แฟนเพจทุกคนได้อ่านย้อนวันวานกัน อัลบัมแรกเป็น  My Beautiful Dark Twisted Fantasy อัลบั้มมาสเตอร์พีชของ Kanye West ก็ผ่านพ้นไปแล้ว มาถึงอัลบั้มชุดที่สองเป็นของแร้พเปอร์ซุปตาร์ซึ่งเป็นดาวค้างฟ้า ณ ปัจจุบันนี้อย่าง Eminem มาพร้อม studio album ชุด 7 อย่าง Recovery อีกหนึ่งอัลบั้มที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในช่วงนั้นเลยครับ การันตีด้วยยอดขายถึง 741,000 copies ในสัปดาห์แรก ยึดอันดับ 1 แทบทุกชาร์ตและหลายๆประเทศได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ซะด้วย จนกลายเป็นแชมป์อัลบั้มที่มียอดดาวน์โหลดดิจิตอลอัลบั้มสูงสุดตลอดกาล ก่อนที่ Adele จะโค่นแชมป์ด้วยอัลบั้ม 21 ในเวลาต่อมา  นอกจากนี้ยังกวาดรางวัลอัลบั้มยอดฮิตมาตั้งหลายงานหลายสถาบันนักวิจารณ์ซะด้วย แถมได้รางวัลทรงคุณค่าแกรมมี่สาขา Best Rap Album มานอนกอดได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของป๋าได้อย่างสุดยอดจริงๆ

อัลบั้มนี้ยังได้มันสมองหลักอย่าง Dr.Dre มาเป็น Executive Producer อีกเช่นเคย พ่วงด้วย Mr.Porter และ Just Blaze มาร่วมเขียนเพลงและโปร์ดิวซ์ให้ อาจฟังดูซ้ำซาก หน้าเดิมๆ แต่แนวเพลงในอัลบั้มนี้โดยรวมถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวเอามากๆ เกือบทั้งอัลบั้ม แปลกใหม่ และ มันส์ขึ้น ส่วนเรื่องหน้าปกอัลบั้มเป็นอะไรที่เรียบง่าย เดินบนถนนอย่างเท่ๆ บ่งบอกคอนเซปต์อัลบั้มที่ไปในทางสว่างมากขึ้น เดินออกโรงบำบัดยาได้อย่างภูมิใจว่า กูกลับมาแล้วโว้ยยย 


เปิดแทร็คด้วย Cold Wind Blows สนุกครื้นเครง ทา ดัม ทา ดัม ทัม ดา ทัม  ดูมีความเป็นอัลเทอเนทีฟฮิพฮอพมากขึ้น ส่วนเนื้อหาก็เหน็บแนม celeb หน้าเดิมๆอย่าง Mariah Carey , Elton John ยังไม่ทิ้งสไตล์เดิม แต่เพลงนี้ผมว่า ยังเหน็บแนมไม่แสบสันต์พอเท่ากับสมัยก่อน อาจจะเป็นเพราะป๋าแกอายุมากขึ้นละมั้ง ต่อด้วย Talkin' 2 Myself (feat. Kobe) เป็นการบอกการกลับมาได้ดีมากๆครับ เพลงเท่ ได้ Kobe มาร้องเสริมความเข้มและสุขุมมากขึ้น เบสตึบได้ใจ เนื้อหาดีมากๆ ซึ่งเพลงนี้เองป๋าเองก็ได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ทั้งเหงาเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยวเหมือนไม่มีคนมาสนใจ และ รู้สึกอิจฉาเพื่อนร่วมวงการ   ฮิพฮอพอย่าง Lil Wayne , T.I และ Kanye West จนเกือบแต่งเพลง Diss ซะแล้ว แต่โชคดีที่เขาใจแข็งพอที่จะไม่ทำ (จริงอ่ะเปล่าเนี่ยไม่รู้)

On Fire มาโทนดาร์กนิดๆ แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆมากกลับเพลงนี้ แต่ก็พอฟังได้ ถ้าไม่ฟังหรือข้ามไปเพลงอื่นก็ได้ครับ ถือว่าไม่พลาดอะไรมากมาย มันส์ต่อเนื่องด้วย Won’t Back Down (feat. Pink) เปิดด้วยโซโล่เท่ๆมันส์ๆ นี่มันแร็พ Heavy metal ชัดๆ hard core มันส์ๆตั้ง3ท่อน แร็พตะโกน ไม่หวั่นคอแตกเลยทีเดียว แต่ใช้แขกรับเชิญอย่างสาวร็อค P!NK ไม่ค่อยคุ้มซะเท่าไหร่ น่าจะให้ร้องมากกว่านี้ เลยดูเหมือนว่าไม่ต้องใส่ชื่อ feat P!NK เติมก็ได้



W.T.P. มันส์กันต่อด้วยเพลวจังหวะหนักๆ beat เบสหนักได้ใจ คงความเถื่อนแบบสไตล์ Gangsta นิดๆ เนื้อหากลิ่นอายแบบ party รถเทลเลอร์ พอผมฟังท่อนฮุคแล้วก็พอรู้ว่า มันย่อมาจาก White Trash Party นั่นเอง Going Through Changes เบรคด้วยเพลงช้าๆ แปะsample เพลง changes ของ Black Sabbath เข้ากันได้ดีมากทั้งองค์ประกอบเพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวกับการกลับตัวกลับใจ และสู้กับตัวเองของป๋าเอ็มที่พยายามจะเลิกยานอนหลับให้สำเร็จ ป๋าแกก็ได้แต่งเพลงให้ลูกสาวแกด้วย นี่แหละคือเหตุผลที่พี่แกนั้นยังลุกขึ้นสู้ต่อไป ไม่งั้นคงไม่มีเอมิเน็มมาถึงทุกวันนี้



I'm not afraid to take a stand
Everybody come take my hand
We'll walk this road together, through the storm
Whatever weather, cold or warm
Just let you know that, you're not alone
Holla if you feel that you've been down the same road

เข้าสู่ช่วงกลางอัลบั้มด้วยซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดนี้  Not Afraid ขอพูดถึงเพลงนี้ยาวหน่อยนะครับ เพราะเป็นเพลงที่สามารถบอกคอนเซปต์อัลบั้มนี้ได้ดีที่สุด แสดงจุดยืนชัดเจนว่า กูจะแร็พแบบไม่แคร์สื่ออีกต่อไป แถมมาทวงบัลลังก์คืนด้วย หลังจากปล่อยให้ Lil Wayne นั้นได้ดิบได้ดีอยู่นาน ดูจากเพลงนี้แล้วผมเลยคิดว่า ทั้งสองคนนี้กลับตกอยู่ในช่วงตกที่นั่งลำบากอยู่เหมือนกัน Lil Wayne ติดคุก ส่วนป๋าเอ็มเข้าสถานบำบัด เพลงมันส์ดีครับ ส่วนเอ็มวี ตอนแรกก็ เอ้ย ยืนอยู่บนตึกโคตรเท่ แต่ตอนท่อนสามนี่ เอิ่ม นั่นมัน Hancock ชัดๆ 

สารภาพว่าตอนที่แอดมินเจอปัญหาหลายเรื่องรุมเร้าเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ผิดหวังจากความรัก แอดมินฟังเพลงนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองครับ ว่าเราจะไม่ยอมสูญเสียตัวตนของตัวเองเด็ดขาด ถือเป็นเพลงที่เอมิเน็มไม่ได้แต่งเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแต่งให้กำลังใจกับผู้ฟังด้วย Eminem เองก็เจอปัญหาหลายอย่างทั้ง ติดยาไม่เป็นอันทำงาน จนต้องเข้ารับบำบัด สูญเสียเพื่อนรักอย่าง Proof รวมไปถึง ล้มเหลวในชีวิตคู่กับภรรยาเก่าด้วย จนเป็นแรงผลักดันให้แต่งเพลงนี้เพื่อทวงความเป็นราชาเพลงแร็พกลับคืนมา ที่ผม copy paste ท่อนฮุกเพลงนี้ เพราะมันมีความหมายที่ทรงพลังและหนักแน่นสุดๆ ติดหูและซึมซับเข้าไปในใจของผู้ฟังเต็มๆ สุดยอดดด ผู้อ่านสามารถเอาเพลงนี้ไปใช้เป็นแรงบัลใจในการใช้ชีวิตได้นะครับ 

Seduction  เข้าสู่โทนดาร์ก R&B ถือว่าเป็นเพลงที่ฟังยากอยู่เหมือนกาน ผมฟังครั้งแรกก็ไม่รู้สึกชอบ เลยข้ามไปเพลงต่อไปซะงั้น แต่พอได้ฟังในที่เงียบๆ ก็โอเคดีครับ ตอนนั้นผมอาจจะฟังแบบฉาบฉวยก็เป็นไปได้ เนื้อหาก็โคตรจะโจ๋งครึ้มเลยล่ะนะ




No Love (feat. Lil Wayne) ชิงเกิ้ลที่สาม โทนออกแนวจริงจังเอามากๆ สมชื่อเพลงเลย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัดพ้อถึงเมียเก่าของป๋าแกหรอกนะครับ จะบอกเล่าเกี่ยวกับ ชีวิตในวัยเด็กของ Lil Wayne และ Eminem ที่ถูกรังแก กลายเป็นเด็กเก็บกดไปเลย แต่งเพลงนี้มาก็เพื่อเอาคืนไอ้พวกนั้นโดยเฉพาะ ผมเรียกเพลงนี้ว่า เพลงของเด็กเก็บกด  แปะ sample ด้วยเพลง What Is Love ของ Haddaway แทรกระหว่างเพลงได้อย่างลงตัว ตบด้วยบีทหนัก แร็พเอื่อยๆเมากัญชาของ weezy และต่อด้วยท่อนแร็พรัว กระแทกกระทั้น และโคตรเร็วของป๋าเอ็ม จุดเสียที่ทำให้ผมนั้นไม่ให้เต็มสิบนั่นอาจจะเป็นเพราะ verse ของอีตา weezy เนี่ยแหละ ที่ดูไม่เข้ากันซะเลย คนละสไตล์กันชัดๆ เรียกได้ป๋าเอ็มเราแย่งซีนไปเต็มๆครับงานนี้ ถ้าใครไม่ชอบตา Weezy จริงๆ เลื่อนไปที่ 2:42 เลยจะดีกว่า เพราะนั่นแหละครับจะได้รู้ว่า เทพตัวจริงคือใครกันแน่ ตอบหน่อย เหตุผลที่เลือก Lil wayne มานั้นอาจจะเป็นเพราะว่าพี่แกนั้นเคยโดนแกล้งเหมือนป๋าเอ็มรึมั้งครับ จึงถ่ายทอดได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ก็พี่แกก็มาเป็นแขกตอบแทนให้ ตอนที่ร่วมงานกันในเพลง Drop the world แน่เลย  ป๋านั้นก็แร็พปล่อยของออกมาเต็มที่ เหมือนยังโกรธไม่หายเลย สะใจวุ้ย อดรีนาลีนพุ่ง



ต่อด้วยซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มนี้ Space Bound ที่ผมดีใจมากๆที่ตัดเป็นซิงเกิ้ล ผมฟังกี่รอบก็ไม่มีวันเบื่อเลย เผลอๆผมชอบมากกว่าซิงเกิ้ลสุดฮิตในอัลบั้มนี้ซะอีก เต็มร้อยไปเลย เป็นแร็พที่ป็อบเอามากๆ อคูสติกช้าๆ แร็พที่ไม่กระแทกกระทั้นมากไป เข้ากันได้ดีมากๆ ท่อนฮุคเสียงสูงที่ร้องโดย Steve McEwan ช่วยเสริมเพลงนี้อย่างแรงและกล่อมกล่อมมากๆ เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ผมอยากแนะนำสำหรับใครที่ชอบฮิพฮอพผสมป็อบ ต้องมีไว้ในมือถือ

เนื้อหาก็ตัดพ้อคนรักเก่าซะด้วย ในเอ็มวีก็เป็นที่ถกเถียงเยอะอยู่พอสมควร โดยเฉพาะฉากที่ป๋าเอ็มนั้นยิงตัวตายเนี่ยแหละครับ เกิดดราม่าจนได้ กลัวคนจะทำตามอ่ะดิ

Cinderella Man ต่อด้วยเพลงหนักๆมันส์ๆ ที่ใครหลายๆคนมองข้าม แต่ผมรู้สึกว่าก็เจ๋งดีนะ มันส์ดีออก เพลงนี้เฮียแต่งให้กับ Script Shepherd หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มและผู้ร้องประสานเสียงในเพลงนี้ ที่ต้องเสียพี่ชายไปจากการถูกคนร้ายแทงต่อหน้าคุณแม่ของเขา เจ๋งทั้งแร็พเปอร์และเนื้อหาเลยนะเนี่ย



25 to Life  เพลงเปรียบเปรยเหมือนชีวิตนั้นติิดกับเหมือนโดนจำคุกตลอดชีวิต 25 ปี เลยทีเดียว (โทษสำหรับอาชญากรเบอร์หนึ่ง) ในที่สุดพี่แกก็เป็นอิสระแล้ว (ใช้โทษหมดแล้ว) และยังแต่งเปรียบเปรยถึงแนวเพลงฮิพฮอพที่เขารักด้วย ได้เสียงสูงของ Liz Rodrigues ช่วยให้เพลงนั้นดูซอฟต์ลง แต่ท่อนแร็พนั่นดูไม่ซอฟต์เอาเสียเลย ถ้าเทียบกับ Space Bound แล้ว เพลงหลังทำได้สมูทกว่าครับ

So Bad เหมือนกับเฮียแกจะพยายามคงสไตล์เก่าๆที่มาแบบป่วนๆให้ได้มากที่สุด แต่ความพยายามนั้นก็ดูจะไม่ได้ผลซะเท่าไหร่สำหรับเพลงนี้ครับ ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดามากๆ ดีนะที่ดนตรียังช่วยเพลงนี้ ไม่ให้ดูกลวงจนเกินไป บอกไปเลยว่า กูมันเลวอยู่แล้ว ก็แค่นั้น

Almost Famous  intro มาตอนแรกถึงกับงงมากๆ เหมือนเอาฉากนึงของหนังเรื่องนึงมา แต่ผมว่าดูไม่ค่อยลงตัวซะเท่าไหร่ แปลกๆ แต่ rap โคตรฮาร์ดคอมากๆ แต่ผมว่ายังสู้ Won't Back Down ไม่ได้เท่าไหร่ เพลงนี้ยังได้  Liz Rodrigues มาช่วยร้องท่อนฮุคให้ แต่ไม่โดดเด่นเลย เป็นเพลงหนักที่ฟังยากอยู่เหมือนกานฮะ



Love the Way You Lie (feat. Rihanna) มาถึงแล้วสำหรับซิงเกิ้ลสุดฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง จะไม่ให้ได้รับความสนใจได้ไงล่ะ แขกรับเชิญเป็นถึงซุปตาร์อย่าง Rihanna มาร่วมแจมด้วย และได้เจ๊ Skylar Grey มาช่วยแต่งเพลงนี้ด้วย intro เปียโนโดดเด่นอย่างแรง เป็นเพลงที่ผมคิดว่า soft สุด เข้าถึงง่ายที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ ตอนเห็นแทร็คนี้ใน list อัลบั้มใครแรก ถึงกับตื่นเต้นเลยทีเดียว เนื้อหาก็พูดถึงความรักที่เต็มไปด้วยความหลอกลวงซะด้วย mv นางเอกก็ได้แม่สาวสุดจี๊ดอย่าง Megan Fox และ พระเอกอย่าง Dominic Monaghan มาเล่นเอ็มวีซะด้วย ขอบอกว่าใครที่ยังไม่ได้ดู mv นี้ ถามจริงเหอะ ไปอยู่ไหนมา  ป๋าแกคงอยากจะเอาใจคอ pop culture ดูบ้าง และก็ได้ผลครับ เรียกแฟนเพลงที่ไม่ใช่เอมิเนมมายื่นใบสมัครเยอะอยู่ ผมขอโม๊ว่าผมฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เพลงนี้ยังไม่release อัลบั้มนี้ซะด้วยซ้ำ แอบไปดาวน์โหลดเถื่อน อิอิ พอเพลงนี้ฮิตปุ๊บ ก็รู้สึกเบื่อทันที 555 แต่จริงๆแล้วถ้าใครเป็นแฟนเพลงตัวยงของป๋าเอ็มบางคน คงเห็นว่าเพลงนี้ดูธรรมดาไปหน่อย คงรู้สึกไม่ต่างจากผมหรอกครับ  ใครที่อยากจะแร็พอวดเพื่อน ใช้เพลงนี้ไปแร็พโชว์ได้สบาย เพราะเค้ารู้จักเพลงนี้ 555 

You’re Never Over ปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลงแร็พบัลลาดที่แต่งให้ Proof แห่ง D12 เพื่อนที่สนิทที่สุดของ Shady ที่ถูกยิงตายอย่างน่าสลด เนื้อหาก็ฟังดูซาบซึ้งอยู่เหมือนกานนะ ปิดท้ายอัลบั้มได้อย่างดีครับ



Recovery เป็นการกลับมาที่ดูดี สุขุมขึ้น และยังเก๋าเกมส์แร็พอีกเช่นเคย หลังจากที่สองอัลบั้มก่อนหน้านั้น ไม่ค่อยถูกใจแฟนเพลงและนักวิจารณ์ซะเท่าไหร่ ปรับเปลี่ยนโน่น ปรับเปลี่ยนนี่อยู่นานพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นงานแร็พที่ดูป็อปที่สุดตามที่เอมิเนมบอกจริงๆ ตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มออกมา ผมฟังอัลบั้มนี้อยู่หลายรอบพอสมควรตอนฟังจนเบื่อเลย 555 แต่ไม่เป็นไรครับ แต่เพื่อแฟนเพจทุกคนที่ติดตามเพจผมมาตลอด ผมเลยอยากให้บทความรีวิวที่ผมเขียนทิ้งไว้เป็นมรดกตกทอดให้แฟนเพลงสากลได้อ่านกันต่อไป 5555 

Recovery ไม่ได้แปลว่าการเอาคืนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบอกตัวเองว่า กูหายป่วยหายเศร้า หายทุกข์ และหายกลัวแล้วนะ กูพร้อมจะกลับมาทำในสิ่งที่กูรักที่สุดนั่นก็คือ การเป็นศิลปินฮิพฮอพ แต่งเพลง สร้างความบันเทิงและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผู้คนด้วยศิลปะที่เรียกว่า บทเพลง ต่อไป ถึงแม้ว่าบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้จะสูญเสียสไตล์เก่าที่เราคุ้นเคยในสามอัลบั้มแรกของเอมิเน็ม

แต่เอมิเน็มไม่เคยสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอย่างแน่นอน


Top Track : Not Afraid , Space Bound , No Love (Only Eminem's Verse) , 25 To Life , Talkin' 2 Myself

Give  8.5/10


Thanks For Reading

See Ya

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] My Beautiful Dark Twisted Fantasy-Kanye West (ฉบับครบรอบ 5 ปี)

โลกแห่งจินตนาการสุดแสนพิศดารของคานเย




ผมจำได้ว่าปี 2010 เป็นปีทองแห่งวงการฮิพฮอพอย่างแท้จริง แร็พเปอร์ระดับซุปตาร์ ไม่ว่าจะเป็น Eminem ปล่อยอัลบั้ม Recovery ผลงานที่สามารถกู้ชื่อเสียงของเอมิเน็มได้อีกครั้ง แร็พเปอร์แห่งเมืองแคนาดาซึ่งตอนนี้กลายเป็นแร็พเปอร์ระดับไอคอนประดับวงการเพลงไปแล้วอย่าง Drake ก็ปล่อยผลงาน Thank Me Later แจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม ในช่วงปลายปี 2010 มีแร็พเปอร์ซุปตาร์รายนึงโชว์เทพปล่อยผลงานระดับมาสเตอร์พีชส่งท้ายปีด้วย ซึ่งแร็พเปอร์รายนั้นก็คือ Kanye West นั่นเอง วันนี้ผมขอหยิบผลงานชิ้นเด็ดซึ่งเป็น Studio album ชุดที่ 5 ที่มีชื่อโคตรยาวว่า My Beautiful Dark Twisted Fantasy  มารีวิวเล่าสู่กันฟัง

ก่อนที่อัลบั้มนี้จะวางแผง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องปกอัลบั้มที่เป็นงานศิลป์ที่ ตา Yeezy ถือขวดเหล้า กำลังมีอะไรกับ สัตว์ประหลาดผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์มีปีก บนโซฟาสีฟ้า ว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่จะวางแผงขาย จนเกิดกระแสต่อต้านมากมายในภายหลัง จนต้องเปลี่ยนปกอีกหนึ่งเวอร์ชั่น ซึ่งเป็นภาพผู้หญิงสวมชุดดำถือแก้วแชมเปญตามภาพที่เห็น 

ขอบอกก่อนครับว่า เป็นอัลบั้มที่มีโปรดักชั่นแน่นคับแผ่น แถมอัลบั้มนี้ยังมียอดขายในระดับแพลทินั่ม และเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในปี 2010 อีกด้วย แต่ละแทร็คนี่ยาวมาก แสดงให้เห็นถึงความครีเอทีฟอะไรใหม่ๆในงาน hiphop ของ คานเย ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่เป็น hiphop ที่เกลื่อนตลาดแน่นอน

ขอแปะคลิปหนังสั้นของคานเย ชื่อว่า Runaway บ่งบอก concept ของอัลบั้มนี้ได้อย่างครบถ้วนฮะ ภาพสวยมากแถมได้ทดลองฟังเพลงจากอัลบั้มนี้ด้วย คุ้มนะครึ่งชั่วโมงเอง อ่านรีวิวก่อนแล้วค่อยดูก็ได้ครับ




เริ่มด้วย Dark Fantasy  Intro เกริ่นนำด้วยการพูดที่ดูเหมือนเล่านิทานเหมือนนิยายแฟนตาซีทั่วไป และแอบบิดเสียงให้ดูตรงกับ concept  อัลบั้ม ซึ่งเป็นเสียงของ Nicki Minaj นั่นเอง ต่อด้วยท่อนฮุคที่เป็นการร้องประสานเสียงที่ทำออกมาได้ดีมากๆฮะ อลังการสุดๆ การแร็พที่ค่อนข้างลื่นไหลของ  Kanye West และ ท่อนแยกของ Bon Iver ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเพลงนี้เลย เป็นแทร็คเปิดที่ทำได้ดีและอลังการมากฮะ บ่งบอก concept ของอัลบั้มนี้ได้ดีฮะ ต่อด้วย Gorgeous  hip hop บวก ร็อค ความยาวเพลงเกือบ 6 นาที แต่ฟังได้เพลินๆ Kid Cudi ร้องฮุกนำ การแร็พที่เป็นจังหวะของ Raekwon  ปิดท้ายด้วยรีฟกีตาร์เท่ห์ๆ จบเพลงได้พีคและดีมากๆ



Power  Lead Single ที่โดดเด่นด้วยบีทมันส์ๆ พร้อมการแร็พที่มีพลังของ yeezy  ทำออกมาได้สมชื่อเพลงจริงๆ ที่บ่งบอกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ อหังการไปตามอีโก้คนแร็พ เอ็มวีก็ทำได้อลังการ ภาพสวยมาก แถมแรงด้วย ถ้าไม่ใช่คานเย ทำแบบนี้ไม่ได้ 



ส่วน Power เวอร์ชั่นรีมิกซ์ได้ Jay-Z และ Swizz Beatz มาร่วมแจม
เวอร์ชั่นนี้จะยาวเป็นพิเศษ แต่ท่อนสุดท้ายคานเยแร็พได้มันส์โคตร เป็นเพลงฮิพฮอพเวอร์ชั่นรีมิกซ์ที่ผมชื่นชอบมากที่สุดเลยล่ะครับ


All Of the Lights  เป็นซิงเกิ้ลที่ถูกปล่อยออกมาทางคลื่นวิทยุบ้านเรา ซึ่งผมก็ดีใจมากฮะ ฟังแล้วอยู่เหมือนในขบวนพาเหรดเลย ห่านร้องท่อนฮุคนำ และยังพาเหรดขนศิลปินรับเชิญเพียบ ทั้ง Alicia Keys, Charlie Wilson, Elly Jackson, Elton John, Fergie, John Legend, KiD CuDi, Rihanna, Ryan Leslie, The-Dream และ Drake  มาร้องนิดร้องหน่อย ช่วยประสานเสียงกันไป เรียกได้ว่า ยกขบวนเอาแขกรับเชิญระดับบิ๊กๆป็อบๆ มาไว้คับเพลงเลยที่เดียว ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากครับ ถ้าจะเอามาไว้ในเพลงเดียวถ้าเปิดเพลงนี้ตอนที่เดินทางนั่งชมแสงไฟในเมืองล่ะก็ ได้ฟินสุดๆ ตามชื่อเพลงเลย 5555 


Monster (ft. Jay-Z, Rick Ross, Nicki Minaj & Bon Iver) เป็นแทร็คจังหวะสนุกๆ ฟังแล้วนึกถึงเพลงชนเผ่า ที่มีบีทแรงๆเพิ่มเข้ามาด้วย การคุมเกมแร็พที่ทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายของ Yeezy และ Jay-Z  และที่เด็ดสุดก็คือ verse 3 ของ Nicki ที่แร็พได้อย่างมันส์ คล่องตัว ตามจังหวะได้ดี ไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว โดดเด่นกว่าฝ่ายชายด้วยซ้ำ ผมว่าเพลงนี้นิคกี้แร็พได้ดีที่สุดครับ แถมยังแอบจิกกัด Lil Kim อย่างเมามันส์ ก่อนจะปิดท้ายด้วย Outro ของ Bon Iver ฟังสนุก มันส์ดี  



So Appalled (ft. Jay-Z, Pusha T, CyHi Da Prynce, Swizz Beatz & RZA) แขกแร็พเชิญเยอะมว๊าก แร็พกันทีละท่อน ออกแนวโทนหม่นๆ สามารถบอกความเป็น hip hop ได้อย่างดี แร็พประชดประชัน เสียดสีตามประสาคนผิวดำ เพลงลากยาวถึง 6 นาทีกว่าที่ทำให้ผมไม่ค่อยเบื่อเลย กลับชอบด้วยซ้ำ พร้อมกับวลีติดหู 


Champagne wishes, 30 white bitches
I mean the shit is, fucking ridiculous Fucking ridiculous, I mean the shit is Fucking ridiculous 


วลีดังกล่าวดูเหมือนเสียดสีคนรวย ท่อนแร็พที่ผมชอบสุดคือ ท่อนของ Jay-z ฮะ แร็พที่ดุดัน สำผัสคำที่ทำได้ดีในแต่ละท่อน เป็นไฮไลท์ของเพลงนี้ไปเลย


Devil In A New Dress (ft. Rick Ross) เดินเบส เคล้ากับแซมเปิ้ลเพลง Will You Love Me Tomorrow ของ Smokey Robinson ที่เข้ากันได้ดีกับการแร็พที่ดูเหมือนจะพูดซะมากกว่าของ Yeezy และยังได้ตาอ้วนดำ Rick Ross มาแร็พให้ด้วยกลอนแร็พมันส์ๆ อีกเช่นเคย บวกกับโซโลกีตาร์เท่ๆ เป็นการปิดท้ายเพลง




มาถึงแทร็คที่ผมคิดว่าเด็ดดวงสุดๆอย่าง Runaway (ft. Pusha T)  ซิงเกิ้ลแรกที่ถูกปล่อยออกมาในบ้านเรา เป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ และเข้าถึงได้ไม่ยาก intro ด้วยการเคาะเปียโนช้าๆ impact แรงๆ beat เน้นๆ ท่อนฮุคที่ค่อนข้างหนักแน่น ดูรู้เลยว่าเป็นเพลงอกหักแน่ๆ ประมาณว่า ก็ฉันมันเลวนี่ ดีแล้วที่เธอควรหนีออกไปจากฉัน เนื้อหาอาจจะดูธรรมดา หาฟังได้ตามเพลงฝรั่งหรือเพลงไทยทั่วไป แต่ Hilight เด็ดมันอยู่ที่ เสียง synthesizer ที่ทำให้ดูเหมือนว่ากำลังร้องไห้คร่ำครวญที่ลากยาวไปถึง 3 นาทีสุดท้าย ตอนแรกฟังแล้วรู้สึกรำคาญและก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะลากยาวไปถึงไหน เมื่อไหร่จะจบซะที แต่พอฟังไปนานๆ อ่อ ยังงี้นี้เอง ได้ฟิลลิ่งคนอกหักดีแต่ออกจะเวอร์ไปหน่อย 5555 เพลงนี้ยาวที่สุดในอัลบั้มแล้วล่ะ 9 นาทีกว่า

Hell Of A Life แทร็คสนุกๆ ที่ติดหูได้ไม่ยากมากอีกหนึ่งเพลง เพลงนี้พูดถึง ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นกับแฟนเก่า Amber Rose ซึ่งตอนนี้ยังเป็นคู่กัดกับคานเยมาจนถึงทุกวันนี้ แอบหื่นนิดตามท้องเรื่อง ท่อน Outro ทำได้ดีเด็ดอีกเช่นเคย ครับ  




แทร็คนี้ก็เด็ดดวงอีกเช่นกัน Blame Game (ft. John Legend)  เปียโนเด่นมากครับเพลงนี้ ฟังแล้วผ่อนคลายดี ต้องขอยกความดีความชอบให้กับ John Legend ผู้ปราดเปรื่องเสียงร้องและเปียโน อีกเช่นเคย การแร็พที่เคล้ากะเสียงเปียโน กับไฮไลท์เด็ดอยู่ท่อนสอง ที่เป็นการแร็พผ่านโทรศัพท์ เป็นอะไรที่มีมิติซักเหลือเกิน ถ้าได้ฟังเพลงนี้ผ่านหูฟังดีๆ เหมือนมีคนมาพูดผ่านหูซ้ายหูขวา ตลอดเวลาสลับกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมให้คะแนนเต็ม พอฟังไปนานๆปุ๊ป ก็มีบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องบนเตียงล้วนๆ ติดเรทฮะ ประมาณว่า ใครสอนเธอมาเนี่ย เรื่องท่าทางบนเตียงทำไมเธอเก่งจัง เธอคนนั้นก็บอกว่า Yeezy สอนชั้นเองล่ะ ลากยาวประมาณ 2 นาทีกว่า วลีที่ว่า "Yeezy Thaught You Well" ได้กลายเป็นวลีสุดฮิตของคานเยมาจนถึงทุกวันนี้


Lost In The World  เป็นแทร็คปิดที่ฟังแล้วดูสว่างขึ้นมาทันที เหมือนหลงไปอยู่อีกโลกนึงของ yeezy หลังจากหลายเพลงที่ผ่านมา ดูมืดหม่นซะเยอะ ฟังแล้วเหมือนอยู่งาน carnival เลย ดนตรีบรรเลงและการประสานเสียง ขอยกให้ Bon Iver เค้าเก่งด้านนี้จริงๆ Yeezy อาจแร็พน้อยหน่อย แต่เป็นแทร็คปิดอัลบั้มที่จบได้สวย ก่อนที่จะมีการกล่าวสุนทรภจน์ในแทร็คต่อไปอย่าง Who Will Survive In America



เป็นอัลบั้ม hip hop ที่ดูไฮโซเอามากๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Yeezy เลยทีเดียว โดดเด่น มี detail เยอะมาก ถ้าฟังครั้งแรก ไม่ต้องแปลกใจครับว่าเป็นอัลบั้มที่ฟังยากมากครับ แต่ถ้าคุณได้ฟังหลายๆครั้ง กลับรู้สึกว่า เห้ยมันอลังการโคตรๆ สมคำล่ำลือ ไม่แปลกใจเลยว่า นี่คืออัลบั้มที่ดีที่สุดของคานเย ส่วนเรื่องคำหยาบคายที่ดูเหมือนจะมีเยอะแต่ไม่เป็นปัญหาในเรื่องความไม่เสนาะหูแต่อย่างไร เพราะเรื่องของดนตรีออเคลสตร้าที่เอามา mix ได้อย่างลงตัว บวกกับ โปรดักชั่นระดับเทพ มันเป็นผลงานที่ยกระดับความเป็นฮิพฮอพไปอีกขั้นหนึ่งเลย แนะนำให้ฟังเต็มอัลบั้ม

การที่ได้ฟังอัลบั้มนี้ทำให้ผมรู้ว่าต่อให้คูณเกรียนหลุดโลกแค่ไหน ถ้างานเพลงออกมาได้ดีขนาดนี้ แฟนเพลงก็จะศรัทธาในตัวคุณอย่างแน่นอน พร้อมที่จะติดตามงานของคุณต่อไป 

ฝีมือล้วนๆเท่านั้นถึงจะอยู่รอด


Top Tracks : อยากให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

Give  9.5/10



Thanks For Reading

See Ya

FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวอัลบั้ม] Purpose - Justin Bieber (ขอโอกาสอีกซักครั้ง)

ขอโอกาสอีกซักครั้ง



วันนี้ผู้เขียนขอย้ายมาสายป็อบวัยรุ่นบ้าง ศิลปินที่ข้าพเจ้าจะรีวิวในวันนี้ เป็นซุปตาร์วัยเยาว์อย่าง Justin Bieber ไม่ได้พูดถึงป็อบสตาร์รายนี้มานานพอสมควรแล้ว แต่ก่อนยอมรับเลยครับว่า ไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กคนนี้พอสมควร เพราะสร้างวีรกรรมไว้เยอะเหลือเกิน ได้ยินข่าวไอ้เด็กคนนี้ทีไร อุทานขึ้นในใจ มึงอีกแล้วหรอเนี่ย ทำตัวหลงระเริงชัดๆ เป็นเด็กปากหมา แถมขี้อวดอีกต่างหาก ผู้ชายด้วยกันเองเห็นแล้วแอบหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย ถึงขั้นผมสัญญากับตัวเองเลยว่า ผมจะไม่ฟังเพลงและติดตามข่าวของมันอีกต่อไป พอเข้าสู่ปีนี้ดูเหมือนว่า ข่าวฉาวค่อนข้างเพลาลงไปเยอะเลยนะครัช ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ไม่ออกมาสร้างข่าว เพราะ ยุ่งอยู่กับการทำอัลบั้มชุดนี้รึเปล่า ผมเองก็แอบอ่านประวัติของแม่บีเบอร์ ก็รู้สึกสงสารเหมือนกัน เลยให้คะแนนสงสารไอ้เด็กคนนี้ซักหน่อย แต่เอาเถอะ มันน่าจะปรับปรุงตัวแล้วล่ะนะ ไม่คิดมาก 


สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มสนใจอัลบั้ม
Purpose ของป็อบสตาร์รายนี้ คงไม่ใช่ข่าวฉาวที่ลดน้อยลง เพราะผมเป็นแค่นักฟังเพลงเฉยๆ ไม่ถึงขั้นเป็นติ่งของบีเบอร์หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะ 2 ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาอย่าง What Do You Mean  และ Sorry ต่างหาก ผมว่าสองเพลงนี้มีความแตกต่างจากเพลงป็อบทั่วๆไปนะ ทำให้เพลงของเค้าดูไม่กระจอกเลยในสายตาผม ความหมายของสองเพลงนี้ดีใช้ได้เลยครับ อีกอย่างนึงที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือ แขกรับเชิญในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ใช่กระจอก อาทิเช่น Ed Sheeran , Travis $cott , Big Sean , Halsey และ Nas มาร่วมแจมด้วย เซอร์ไพร์สรายหลังมากๆ ไม่น่าเชื่อว่า แร็พเปอร์ระดับตำนานรายดังกล่าว จะยอมลดความเป็นผู้ใหญ่มาแร็พในเพลงของวัยรุ่นได้ ซึ่งนั่นทำให้ผมเห็นว่า ป็อบสตาร์รายนี้น่าจะมีอะไรพิเศษบางอย่างเฮีย Nas กับศิลปินระดับซุปตาร์รายอื่นถึงช่วยกันมาเป็นแขกรับเชิญร่วมงานในอัลบั้มชุดนี้ ในที่สุด ข้าพเจ้าจึงยอมเปิดใจฟังอัลบั้มชุดนี้

อัลบั้มชุดนี้แนวเพลงส่วนใหญ่จะออกแนวป็อบเรียบๆ ได้รับอิทธิพลจากฮิพฮอพมากพอสมควร เปิดด้วย Mark My Words เปิดแบบแปลกๆ ขาดความเป็น first impression เยอะไปพอสมควร การที่มีคอรัส นา นา น้า นา นา มันค่อนข้างเยอะจนน่ารำคาญไปเลย ซึ่งมันขัดกับดนตรีเปียโนช้าๆเรียบๆ 

I'll Show You เป็นแทร็คถัดมาที่แก้ขัดแทร็คแรกได้เป็นอย่างดีครับ ท่อนฮุกเพิ่มความตื่นตาตื่นใจขึ้นมาหน่อย 




What Do You Mean? ยอมรับว่าซิงเกิ้ลนี้ผมถูกใจมากครับ จังหวะเพลงกำลังพอดี ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป บีทกลมกล่อม เนื้อหาเข้าใจหัวอกผู้ชายได้เป็นอย่างดี เพราะผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก นั่นคือคอนเซปต์หลักของเพลงนี้ ที่ถูกใจเพราะผู้เขียนไม่ค่อยเข้าใจผู้หญิงเนี่ยแหละ





Sorry ซิงเกิ้ลนี้ผมก็ถูกใจครับ จะว่าไปแล้วเพลงนี้มีจังหวะที่คึกคักมากที่สุดในอัลบั้มชุดนี้แล้วล่ะครับ จังหวะแดนซ์ๆ ซาวน์ดไม่โหลดีครับ เนื้อหาใกล้เคียงกับชีวิตจริงของหนุ่มบีเบอร์อยู่ไม่น้อย ขอโอกาสจากสาวอีกซักครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่า ต้องการจะสื่อถึง Selena Golmez อยู่รึเปล่า







Love Yourself เพลงนี้เป็น First Impression จริงจังเลยล่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีชื่อ Ed Sheeran ห้อยท้ายชื่อเพลงก็ตาม แต่เราก็สัมผัสได้ถึงสไตล์เพลงที่มีความเป็นเอ็ด ชีแรน อย่างเต็มเปี่ยม หนักแน่นเป็นทุนเดิม อคูลสติกกีตาร์ไฟฟ้าเท่ๆเบาๆฟังสบาย สร้างสีสันด้วยเสียงแซกโซโฟน ถึงแม้ว่าเอ็ดจะอยู่ในสถานะเป็น Vocal Backup แต่เสียงโหยหวนของเอ็ดมันเสริมท่อนฮุกได้ดีมาก มีพลัง แถมเนื้อหาก็ดีด้วย หากว่ารักเรามันไม่น่าจะไปรอด เราควรรักตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย ห่างกันซักพักนั่งทบทวนตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกคนต้องชอบเพลงนี้ จนเชียร์ให้ตัดเป็นซิงเกิ้ลถัดไปอย่างแน่นอน 



Company มาแบบช้าๆซาวน์ดโฉบเฉี่ยวลึกลับดีครับ ท่อนฮุกเล่นคอรัสหลอนๆใช่ย่อย มีเสน่ห์ไปอีกแบบ No Pressure ดนตรีช้าๆบวกความเป็นฮิพฮอพนิดหน่อย จังหวะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัดมาก สมชื่อเพลงเลย ได้แร็พเปอร์เพื่อนสนิท Big Sean มาแร็พช้าๆเข้มๆยานๆ เข้ากับเพลงได้ดี เท่ห์เลยล่ะ เพลงนี้พูดถึงความรักที่รอได้เสมอ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก ไม่กดดันซึ่งกันและกัน เพลงนี้น่าจะเหมาะกับหนุ่มที่กำลังจีบสาวคนนึงอยู่ครับ ดูท่าทีไปก่อน อย่ารีบเร่งอะไรมาก

No Sense มาในแบบฮิพฮอพดาร์กๆ ซาวน์ดหลอนๆเลื้อยๆ ได้ Travis $cott แร็พเปอร์ออโต้จูนมาร่วมแจมด้วย หลังจากที่เคยชวนบีเบอร์ไปร่วมแจมในเพลง Maria I'm Drunk จากอัลบั้ม Rodeo ซึ่งเป็นเพลงที่ผู้เขียนชื่นชอบมากที่สุดในอัลบั้มชุดนั้นด้วย 

The Feeling ได้นักร้องสาวสุดเท่ห์ Helsey มาร่วมแจมด้วย เป็นเพลงที่มาลึกลับน่าค้นหามากๆครับ ท่อนฮุกเป็นอะไรที่สวยงาม น่ารัก ทั้งบีเบอร์กับเฮล์เซ่ย์เคมีตรงกันมากๆครับ เลยทำให้อะไรหลายๆอย่างมันดูลงตัว หลงรักเพลงนี้เข้าอย่างจัง



ถึงแม้ว่าแขกรับเชิญจะหมดแล้ว ถึงเวลาที่บีเบอร์ขอโชว์เดี่ยวบ้าง เริ่มด้วย Life Is Worth Living เพลงช้าๆซึ้งๆ บัลลาดเปียโน ฟังดูแล้วใกล้เคียงเพลงป็อบสไตล์ Westlife แต่มีความหนักแน่นในตัว เนื้อหาดี เริ่มเข้าสู่คอนเซปต์หลักของอัลบั้มชุดนี้มากขึ้นเรื่อยๆที่พูดถึงการขอโอกาสจากสังคมเพื่อที่จะได้ปรับปรุงตัวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะทำผิดพลาดมาเยอะ ในชีวิตของคนเราก็ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตบ้างเป็นเรื่องธรรมดา









จาเพลงช้าก็มาต่อเนื่องด้วยเพลงแดนซ์อีกสองเพลง Where Are U Now  ซิงเกิ้ลเก่าจากสองดีเจและโปรดิวเซอร์ Skrillex และ Diplo มาแบบเงียบๆเหงาหงอยในตอนแรกแล้วตบด้วยบีทเลื้อยๆเอี๊ยดอ๊าดอันแปลกประหลาดในท่อนฮุก และ Children เป็นเพลงแดนซ์อีดีเอ็มธรรมดาๆไม่มีไรมากครับ




ปิดท้ายด้วยเพลง Purpose ไตเติ้ลแทร็คประจำชุดนี้ ธีมเพลงค่อนข้างส่วนตัว เคล้าเสียงเปียโน มาในแบบสงบนิ่ง อีกหนึ่งเพลงที่บีเบอร์ตั้งใจส่งสานส์ให้แฟนเพลง  ได้รับรู้การกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองรักอีกครั้ง ซึ่งนั้นก็คือ การทำงานเพลงนั่นเอง โดยบีเบอร์กล่าวขอบคุณพระเจ้า รวมไปถึงแฟนเพลงที่ยังคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอมา เป็นแทร็คปิดท้ายแสตนดาร์ดเวอร์ชั่นที่ดูหนักแน่น และจริงใจ

แทร็คแถมใน Deluxe Version ล่ะ มีอะไรน่าสนใจบ้าง Been You และ Get Used To It อีดีเอ็มธรรมดาทั่วๆไป มาถึงแทร็กที่ผมรอคอยแล้วอย่าง We Are จะไม่ให้น่าสนใจได้ไง เพราะได้เฮีย Nas แร็พเปอร์ระดับตำนานเลยนะเฮ้ย มาร่วมแจมด้วย ฟังอินโทรเปิดแล้ว ดูวัยรุ่นมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าเฮีย Nas ยอมย้อนวัย มาขอแจมเพลงวัยรุ่นบ้าง แถมการแร็พของเฮียแกก็พูดถึงความรักในสมัยวัยเยาว์ด้วย แอบผิดหวังนิดนึง แต่การที่แร็พเปอร์ระดับตำนานผู้นี้มาแร็พในเพลงวัยรุ่นแบบนี้ ก็ดึงดูดให้ชาวฮิพฮอพต้องยอมเงี่ยหูฟังซักครั้งนึงอยู่ดี




เป็นผลงานลำดับที่สี่ที่มีพัฒนาการทางดนตรีและเนื้อหามากพอสมควรครับ มีอะไรหลายอย่างที่แปลกแหวกแนวจากเพลงป็อบธรรมดาทั่วๆไป ผมเองอาจจะยังไม่เคยฟังอัลบั้มก่อนๆของบีเบอร์ เคยฟังแต่ซิงเกิ้ลที่เปิดตามวิทยุ แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากงานชุดแรกที่ผมฟังก็คือ มันเป็นงานเพลงที่ไม่เน้นสนุก ดูอึมครึมนิดนึง ออกแนวแดนซ์ไม่จัดจ้านเหมือนเพลงวัยรุ่นทั่วไป เมโลดี้ค่อนข้างคงที่ เพื่อให้เข้ากับเสียงร้องของบีเบอร์ออกแนวจมๆ ไม่สูงปรี๊ด เนื้อหามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ถึงแม้ว่าเพลงในอัลบั้มชุดนี้อาจจะให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยพีค ฟังได้เรื่อยๆ แต่งานเพลงชุดนี้เหมือนบีเบอร์กำลังหาแนวทาง พัฒนาสกิลอยู่ ถ้าจะเปรียบเปรยก็คล้ายๆกับการทำงานเพลงแบบค่อยๆพัฒนา เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ อาจจะยังไม่ดีที่สุด เพราะยังต้องมีหลายอย่างต้องปรับปรุง แต่ยังไม่ถึงขั้นแย่ที่สุดอย่างแน่นอน เราจะเห็นได้ว่า เพลงในอัลบั้มชุดนี้ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของ Justin Bieber มากที่สุด การปรับปรุงซาวนด์และเนื้อหาก็เท่ากับการปรับปรุงตัวของบีเบอร์ควบคู่ไปด้วย ป็อบสตาร์รายนี้กำลังจะทำให้ทั้งสองอย่างไปได้ดีด้วยกันนั่นก็คือ หนึ่งไปได้ดีในวงการบันเทิง และ สองไปได้ดีในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ในอดีตหนุ่มคนนี้เคยโดนคนในวงการและสังคมแบนถึงขีดสุดแล้ว 

Purpose จึงเป็นการกลับมาแก้มือ ขอโอกาสอีกซักครั้งในหลายๆเรื่องของบีเบอร์ที่รอให้แฟนเพลงและคนในสังคมพิสูจน์ในพรสวรรค์ ฝีไม้ลายมือกันต่อไป


ยังหนุ่มอยู่ยังมีเวลาอีกนานให้พิสูจน์อะไรอีกหลายอย่าง


Top Track : Love Yourself , What Do You Mean? , Sorry , The Feeling & No Pressure

Give  7/10


Thanks For Reading


See Ya


FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma



วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รีวิวหนัง Straight Outta Compton หนังที่ให้อะไรมากกว่าฮิพฮอพ (Spoil แหลกราน)


หนังที่ให้อะไรมากกว่าฮิพฮอพ





สัปดาห์นี้ ผู้เขียนขอสวมบทบาทเป็นนักรีวิวหนังชั่วคราว เพราะหนังที่ผู้เขียนรีวิวในวันนี้เป็นหนังอัตชีวประวัติของวงแก๊งส์เตอร์ฮิพฮอพ N.W.A. อย่าง Straight Outta Compton N.W.A. เป็นวงฮิพฮอพที่เป็นจุดกำเนิดแนวเพลงฮิพฮอพยุคแรกๆและไอคอนฮิพฮอพแก๊งส์เตอร์มาจนถึงทุกวันนี้ หนังฉายตั้งแต่เดือนที่แล้ว ผู้อ่านคงด่าผมในใจแน่เลยว่า ฉายตั้งนานแล้ว ยังจะสะเออะมารีวิวอีก ขอโทษที่รีวิวมาช้าเพราะ งานประจำของผู้เขียนเยอะมากๆ เลยไม่มีเวลามานั่งเขียนรีวิวยาวๆ แต่ก็อ่านแล้วไปหาโหลดมาดูก็ได้ครับ


N.W.A ย่อมาจาก Niggaz Wit Attitude แปลเป็นไทยว่า คนดำผู้หยิ่งผยอง สมาชิกของวง N.W.A ประกอบไปด้วย  Eric Wright (a.k.a. Easy-E) หัวหน้าวงซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้วด้วยวัย 31 ปี ส่วนสมาชิกอีกสี่คนที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ อาทิ Ice Cube  Dr.Dre หลายๆคนน่าจะรู้จักสองคนนี้เป็นอย่างดี รายแรกเป็นนักแสดงหนังฮอลลีวูดชื่อดังจากหนังเรื่อง 21 Jump Steet , xXx ภาคสอง ส่วนรายต่อมาก็เป็นโปรดิวซ์เซอร์และเจ้าของค่ายเพลง Aftermath Entertainment มีศิลปินในสังกัดอย่าง Snoop Dogg , Eminem , The Game , 50 Cent และ Kendrick Lamar และเป็นนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีจากการขายหูฟังที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง Beats By Dr.Dre นั่นเอง แถมขายหุ้นให้ apple ไปแล้วเรียบร้อย ทั้งคู่ได้ดิบได้ดีตามอัตภาพ นอกจากนี้ยังมี MC Ren และ DJ Yella เป็นสมาชิกแกนหลักของวงด้วย 




ชื่อหนังเรื่องนี้ตั้งตามชื่ออัลบั้มแรกที่สร้างชื่อเสียงให้วงอย่างมากมาย และเป็นอัลบั้มฮิพฮอพอัลบั้มแรกๆที่กล้านำเสนอเนื้อหาหยาบคายไม่แคร์สื่อ แอนตี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมกับชาวผิวสีอาชญากรรมบนท้องถนน ยาเสพติด และเพศมารวมอยู่ในงานเพลง ผสมผสานดนตรีที่มีความเป็นฮาร์ดคอ จังหวะสนุกๆ จึงทำให้อัลบั้มชุดนี้กลายเป็นที่โจษจันท์ของคนทั่วโลก และติดอันดับอัลบั้มฮิพฮอพในตำนานจนถึงทุกวันนี้


หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับผิวสีอย่าง F.Gary Gray เคยผ่านงานหนังสุดมันส์อย่าง The Italian Job , The Negotiator และ Law Abiding Citizen และล่าสุดพี่แกกำลังจะได้เป็นผู้กำกับหนังซิ่งรถ Fast 8 ที่จะเข้าฉายในปีหน้าอีกด้วย โปรไฟล์ธรรมดาซะที่ไหน นอกจากนี้เจ้าของประวัติตัวจริงอย่าง Dr.Dre และ Ice Cube มาร่วมเป็นโปรดิวซ์เซอร์อีกด้วย เรียกได้ว่ารู้ลึกแบบไม่ตกหล่นแน่นอน 



เข้าพาร์ทรีวิวหนังกันเลยดีกว่า รีวิวนี้วิจารณ์ผสมสปอยล์เน้นๆจะว่าไปแล้วก็เล่าความจริงของวงนี้แหละ ก็หนังมันสร้างจากเรื่องจริงนี่หว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู และอยากรู้หนังเรื่องนี้น่าดูอ่ะเปล่า ไปอ่านที่หัวข้อ *เขตปลอดสปอยล์* ด้านล่างได้เลย แต่ถ้าใครดูแล้วหรือยังไม่ได้ดูแต่อยากอ่านก็เชิญอ่านเลยครัช


*** สปอยล์ว่ะพวก

หนังเรื่องนี้ผมขอแบ่งเป็น 3 พาร์ทเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น 


Part 1 : The Beginning Of N.W.A

หนังเรื่องนี้โฟกัสไปที่สามสมาชิกหลักๆอย่าง Easy-E , Dr.Dre และ Ice Cube ส่วนสองสมาชิกที่เหลืออย่าง Mc Ren และ DJ Yella หนังให้น้ำหนักค่อนข้างน้อยพอสมควร จึงกลายเป็นแค่ตัวประกอบไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าความยาวของหนังจะมากถึง 147 นาทีก็ตาม แต่หนังอัตชีวประวัติเรื่องนี้ทำออกมาไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แอบใส่ความบันเทิงเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดเรื่องที่โฟกัสไปที่ Easy-E ไปรับเงินจากแก๊งค์ค้ายา ทำออกมาได้ตื่นเต้นเร้าใจ สมจริง เป็น First Impression ของแท้ ฉาก Dr.Dre ถือเป็นฉากที่แสดงจุดยืนของเฮียเดรชัดเจน ว่าไม่ต้องการทำงานออฟฟิศ ออกเดินทางตามหาฝัน



ฉากที่ Ice Cube โดนแก๊งค์มาเฟียจี้กลางรถบัส บีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ฉากโชว์พรสวรรค์ของ Dr.Dre และ Ice Cube ทำออกมาได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะฉากเล่นดนตรีกลางผับที่ไอซ์ คิวป์ โชว์เพลง Gangsta Gangsta ซึ่งเป็นเพลงที่ข้าพเจ้าโคตรชอบ จนข้าพเจ้าแอบร้องตามเลยทีเดียว ฉากในคลับนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่สมาชิกทั้งห้าได้เจอกัน นำมาสู่การรวมวงในที่สุด 

หนังก็เพิ่มตัวละครสำคัญอีกตัวนึงนั่นก็คือ Jerry Heller ผู้จัดการวงที่ Easy-E ไปเจอในโรงงานปั๊มแผ่น (รับบทโดย Paul Giamatti) ต่อจากนั้นพยายามใส่ประเด็นตำรวจเหยียดผิวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ Ice Cube โดนตำรวจตรวจค้นยา ทั้งๆที่ไปคุยกับเดรเรื่องงานเพลงเฉยๆ ยัดข้อหาให้ Dr.Dre นอนคุกฟรี 1 คืน ด้วยข้อหาทะเลาะวิวาท ทั้งๆที่ตัวเองกำลังห้ามน้องชายที่กำลังมีเรื่องกับคนในคลับ หรือแม้กระทั่งตอนที่กำลังทำเพลงใหม่ แค่ยืนไปออกข้างนอกเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็หาว่าเป็นแก๊งส์เตอร์ อันธพาลกำลังจะก่ออาชญากรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ชมเห็นว่า ทำไมพวกเขาต้องแต่งเพลงด่าตำรวจอย่าง Fuck Tha Police ด้วย น้ำหนักที่ใส่ลงไปในหนังก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้ชมเริ่มหมั่นไส้ตำรวจที่ชอบเหมารวมพวกผิวสีว่าเป็นคนเลว ค้ายา ซะเหลือเกิน


Part 2 : Rise And Fall (Partนี้ ยาวสุด)



เมื่อเพลง Fuck Tha Police โด่งดัง และอัลบั้ม Straight Outta Compton ออกวางจำหน่าย N.W.A ก็ถูกยกสถานะเป็นแร็พเปอร์ซุปตาร์ทันที อัลบั้มขายดี เดินสายออกทัวร์บ่อยชึ้น เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ และถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ โดยการนำศิลปะที่เรียกว่าเพลงแร็พไม่ยอมอ่อนข้อให้ตำรวจเหยียดผิวอีกต่อไป  ในขณะเดียวกันก็ไม่วายโดนตำรวจคอยห้ามปรามไม่ให้เล่นเพลง Fuck Tha Police อยู่เรื่อย แต่นี่คือ N.W.A เว้ย พวกกรูไม่แคร์  โดนจับขังคุก ไปปรับทัศนคติจนได้ ในฉากที่สมาชิกทั้งห้าโดนจับ เราจะเห็นได้ว่า เพลงมีอิทธิพลต่อคนฟังมากๆ แฟนเพลงถึงขั้นไปห้ามปรามตำรวจเลยทีเดียว ผู้ชมได้เห็นรังสีความเป็นฮีโร่ขึ้นมาทันที ทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากเอาใจช่วยพวกเขาจริงๆ อัลบั้ม Straight Outta Compton จึงเป็นจุดพีควงการบันเทิงของห้าหนุ่มเมืองคอมป์ตัน 

มีแฟนคลับก็ต้องมีแฟนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา ในช่วงนั้น N.W.A โดนโจมตีรอบด้าน ไม่ได้โดนโจมตีจากตำรวจเพียงอย่างเดียว แต่ยังโดนสื่อประโคมข่าวด้วย จะเห็นได้ว่าคนดำไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ในสายตาชาวมะกัน ชาวมะกันบางคนก็หูเบาโดนสื่อกรอกหูทุกวัน อดรนทนไม่ไหวเอาซีดีของวงที่ซื้อมาไปทำลายทิ้งซะงั้น จน Easy-E เหน็บคนพวกนี้แบบแสบๆว่า มึงทำลายแผ่นก็เท่านั้น ไม่ได้เงินคืนจากพวกกรูอยู่ดี ซึ่งก็จริง 5555





หนังเริ่มขยายสเกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้จำกัดแค่จุดพีคในวงการบันเทิง และการทำหน้าที่เป็นแอนตี้ฮีโร่เพียงอย่างเดียว หนังเริ่มแหย่ประเด็นด้านมืดของชื่อเสียง อำนาจเงินตรา และวงแตก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่หลงระเริงกับชื่อเสียง ใช้เงินไปกับยาเสพติด กัญชา นารี ปาร์ตี้แทบทุกวัน 







แทรกประเด็นดราม่าที่ Dr.Dre ที่ดันลืมสัญญาที่ได้ให้กับน้องชายตัวเองไว้ว่าจะไปเที่ยวสนุกสนานด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ดันลืม มารู้สึกผิดทีหลังตอนที่น้องชายตายแล้ว ในฉากนี้เราจะได้เห็นมิตรภาพของสมาชิกในวงที่คอยปลอบประโลม Dr.Dre และสัญญาว่าจะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกัน (จริงเหรอ) ต่อจากนั้นก็เพิ่มประเด็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นระยะๆ ซึ่งคนที่เริ่มเห็นว่า Jerry Heller และ Easy-E กำลังเอาเปรียบเรื่องผลประโยชน์ของสมาชิกของวงนั่นก็คือ Ice Cube จนสุดท้าย Ice Cube เองเลือกที่จะปลีกตัวออกจากวงแทน เพื่อไปทำงานเพลงโซโล่เดี่ยว เพราะเห็นว่า Jerry นั้นกำลังปั่นหัวทุกๆคนอยู่ ฟังดูแล้วไอซ์ คิวป์ ไม่น่าจะมีปัญหาขัดแย้งกับสมาชิกของวง เพราะรู้อยู่ดีว่า Jerry ต่างหากเป็นตัวปัญหาที่กำลังแอบตักตวงผลประโยชน์อย่างเงียบๆ ถึงจะออกจากค่ายเก่าแล้ว ไปอยู่ค่ายใหม่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่ดีครับ ไม่จ่ายเงินตามสัญญา ทั้งๆที่อัลบั้มฮิตติดชาร์ตอันดับต้นๆของ Billboard 200 กระแสงานเพลงที่กำลังไปได้สวยก็จริง สมาชิกวง N.W.A ที่เหลือก็เริ่มอิจฉาออกผลงานอีพี 100 Miles And Runnin' มาข่ม Ice Cube ที่ออกจากวงไปอย่างน่าตาเฉย มหากาพย์ Diss กันไปมาจึงเริ่มปะทุขึ้น  Ice Cube เลยไม่น้อยหน้าปล่อยอัลบั้ม Death Certificate โดยมีซิงเกิ้ลเพลง No Vaseline ออกมาจวกอดีตสมาชิกของวงกลับ เหยียดชาวยิว จนทำเอาเพื่อนร่วมวงเก่าแทบเสียศูนย์ Jerry เกือบแจ้งความเอาเรื่องเลยทีเดียว  เป็นฉากที่พีคอีกฉากนึง ผมนี่จดจ่อกวาดสายตาอ่านซับไทย ด่าได้มันส์โคตร ณ จุดนี้ N.W.A เลยออกอัลบั้มชุดที่สอง Niggaz4Life ตามมา เราจะได้เห็นจุดแตกหักของ N.W.A มากขึ้นเรื่อยๆ  Dr.Dre เริ่มเห็นความไม่ชอบมาพากลของสัญญาของ Jerry สัญญาที่อีซี่ย์เคยให้ไว้ตอนที่น้องชายของเดร กลับกลายเป็นแค่ลมปาก เพราะเห็นแก่เงิน จึงเป็นเหตุให้  Dr.Dre ต้องปลีกวิเวกออกไปทำค่ายเพลงร่วมกับ Suge Knight นักเลงคอมป์ตันโดยกำเนิด ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของค่ายเพลงสุดอื้อฉาวนามว่า Death Row Record ที่มีศิลปินในสังกัดอย่าง 2Pac , Snoop Dogg รวมไปถึง Dr.Dre เองด้วย





ในช่วงตั้งค่ายใหม่ๆเราจะเห็นได้ว่า Suge Knight เหี้ยมากๆ ขอใช้คำนี้เลยครับ เล่นสกปรกกับศิลปินค่ายอื่น ตั้งตนเป็นมาเฟีย นิสัยมือไม่พายเอาเท้าราน้ำด้วยครับ ยังไงหรอ เป็นปลิงเกาะ Dr.Dre ไงล่ะครัช Dr.Dre ทำงานเพลงแทบตาย เสือกผลาญเงิน แถมขู่ Easy-E ให้ออกค่าย Ruthless อีกด้วย ซึ่งในชีวิตจริงก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มีวีรกรรมหลายอย่างเลยล่ะครัชสำหรับ Suge Knight ในช่วงตั้งค่าย Death Row Record หนังได้เพิ่มสองตัวละครรับเชิญซึ่งมีอยู่จริงบนโลกใบนี้อย่าง Snoop Dogg และ Tupac ด้วย ซึ่งใครที่เป็นสาวกฮิพฮอพที่ได้ดูคงยิ้มร่าอยู่ไม่น้อยทำให้เราคิดถึงฮิพฮอพยุค 90 ทันที ซึ่งยุคนี้ถือเป็นยุคทองของดนตรีฮิพฮอพอย่างแท้จริง 



หนังเลือกที่จะโฟกัสการทำงานโซโล่อัลบั้มเดี่ยวของ Dr.Dre ที่มีชื่อว่า The Chronic เป็นอัลบั้มฮิพฮอพสุดคลาสสิค ต้นกำเนิดฮิพฮอพแนว G-Funk อันเป็นดนตรีท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของฮิพฮอพฝั่ง West Coast โดยในหนังได้เผยการทำงานเพลงของ Dr.Dre กับ Snoop Dogg ซึ่งทั้งคู่ได้โชว์ศักยภาพก่อให้เกิดซิงเกิ้ลฮิพฮอพในตำนานอย่าง Nutin' But A "G" Thang ข้าพเจ้าอดใจไม่อยู่ แอบแร็พตามเลยล่ะ เพลงมันเจ๋งนี่หว่า แต่น่าเสียดายครับ ที่หนังไม่ได้โฟกัสไปที่การทำเพลง Diss อดีตเพื่อนร่วมวงอย่าง Easy-E ถ้าใครเป็นแฟนเพลงฮิพฮอพจะเห็นได้ว่า มีเพลงเหน็บแนม Easy-E รวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ทำให้ผมมองเห็นว่า หนังยังจี้ประเด็นมิตรภาพแตกหักระหว่าง เดร กับ อีซี่ ยังไม่เพียงพอและไม่สุด ซึ่งอาจจะทำให้แฟนเพลงฮิพฮอพนั้นรู้สึกว่าเหมือนขาดประเด็นสำคัญบางอย่าง แถมมีฉากนึงที่อีซี่ย์เห็นป้ายบิลบอร์ดโปรโมทอัลบั้ม The Chronic แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ผมว่ามันแปลกๆนะ โดนด่าซะขนาดนั้น ยังยิ้มได้อยู่รึเนี่ย

ต่อมาหนังได้เพิ่มตัวละครประกอบเพิ่มมาอีกหนึ่งคนซึ่งนั้นก็คือ 2Pac นั่นเอง คนที่แสดงเป็นทูแพ็ค หน้าตาเหมือนโคตรๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเทคโนโลยีกราฟฟิคปรับแต่งหน้ารึเปล่า หน้าเหมือนจริงๆ เราจะได้เห็นทูแพ็คและเดรกำลังอัดเพลง Hail Mary และ California Love ซึ่งข้าพเจ้าก็อดจะแร็พตามไม่ได้เช่นกัน Dr.Dre เริ่มเห็นสันดานเหี้ยๆของ Suge Knight เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้เงินแหลกราญ เกาะเพื่อนกิน แถมมีนิสัยที่เป็นอันธพาลจอมโหด Dr.Dre เริ่มทบทวนตัวเองและทำตัวออกห่างจาก Suge Knight เลยตัดสินใจออกจากค่าย

Easy-E ก็เช่นกันหลังจากที่มืดหน้าตามัวอยู่ตั้งนานว่า โดน Jerry หลอกแดก จึงตัดสินใจออกจากค่ายเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่า Easy-E เริ่มมีชีวิตที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จากที่เคยใช้ชีวิตหรูๆ ก็ต้องขายทิ้ง จนแทบจะไม่เหลืออะไร แต่ยังโชคดีที่ยังมีแฟนสาวคอยชี้ทางสว่างให้ อีซี่ย์เริ่มคิดถึงอดีตเพื่อนร่วมวงมากขึ้น โทรติดต่อหาเพื่อนเก่า Dr.Dre และตัดสินใจเดินเข้าไปหา Ice Cube เป็นคนแรก เพื่อรียูเนี่ยน N.W.A อีกครั้ง


Part 3 : The End Of N.W.A (R.I.P Easy-E)




ฉากที่ Easy-E คุยกับเพื่อนเก่าไม่ว่าจะเป็น ดร.เดร กับ ไอซ์ คิวป์ ถือเป็นฉากที่ผมประทับใจมากๆครับ ที่ได้เห็นมิตรภาพที่ดีงามหลงเหลืออยู่ และการให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นฉากที่ซาบซึ้งมากๆครับ เรื่องรียูเนี่ยนวงกำลังไปได้สวย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับ Easy-E เข้าอย่างจัง เมื่ออีซี่ย์กลับล้มป่วยหมดสติ และผลการตรวจโรคก็พบว่า ติดเชื้อ HIV ว่าง่ายเป็นโรคเอดส์นั่นเอง เป็นฉากที่สะเทือนใจคนดูมากๆครับ มิตรภาพกำลังลงรอยแท้ๆ แต่หัวหน้าวงตัวจริงมีชีวิตอยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนที่ดร.เดรมาเยี่ยมไข้ เป็นฉากที่เศร้าสุดๆเลยครับ และแล้วอีซี่ย์ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 31 ปี ในหนังได้เอาภาพเหตุการณ์จริงที่แฟนเพลงร่วมจุดเทียนไว้อาลัย ถึงผมรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร ก็เศร้าอยู่ดีครับ 


หนังปิดท้ายด้วยการที่ Dr.Dre ไปค่าย Death Row Record แล้วไปบอกลา Suge Knight ต่อไปนี้กูจะเป็นนายของตัวเองแล้ว Suge Knight ถามต่อไปว่า เอ็งจะไปทำอะไรต่อ ดร.เดรสวนกลับ ไปตั้งค่ายเพลงเป็นของตัวเอง ชื่อค่ายมึงชื่ออะไร ซูสถามต่อ ดร.เดรตอบคำถามสุดท้ายว่า Aftermath แล้วเดินจากไปอย่างเท่ๆ


*เขตปลอดสปอยล์ รีวิวเพียวๆ*

ในฐานะที่ผมเป็นแฟนเพลงฮิพฮอพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมรู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากๆครับ เป็นหนังที่นำเสนอความเป็น Rise And Fall ได้ครบเกือบทุกด้านเลยครับ  นอกจากนี้ยังทำให้ผมรู้ประวัติศาสตร์ฮิพฮอพและด้านมืดของวงการฮิพฮอพในแบบที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วย ประทับใจที่หนังเลือกที่จะเพิ่มตัวละครที่เป็นแร็พเปอร์ในตำนานอย่าง Snoop Dogg และ 2Pac มาให้เราระลึกถึงอีกด้วย ถือเป็นการสนองความต้องการของแฟนเพลงฮิพฮอพรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริงเลยล่ะครัช ถึงหนังอาจจะขาดดีเทลสำคัญบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การทำงานเพลงเดี่ยวของ Easy-E และ การที่ Dr.Dre แต่งเพลงด่า Easy-E แต่ด้วยเรื่องของข้อจำกัดของเวลาที่ไม่สามารถนำเสนอ Fact ออกมาได้เต็มที่ เป็นสิ่งที่ยอมกันได้ครับ



ชอบที่หนังไม่ได้จำกัดแค่ จุดพีคของ N.W.A เพียงอย่างเดียว แต่หนังขยายขอบเขตไปมากกว่านั้น เข้าถึงความเป็น Rise And Fall ได้อย่างแท้จริง หนังนำเสนอด้านมืดของชื่อเสียงได้อย่างถึงแก่น อาจจะไม่มากเท่ากับหนังดราม่ารางวัลออสการ์ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราได้อิ่มไปกับข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าตอนแรกคุณจะเป็นแอนตี้ฮีโร่ที่แต่งเพลงก่อกบฎกับอำนาจไม่ชอบธรรมของตำรวจ แต่ก็อุดมการณ์ที่มีอยู่เดิมก็หมดหายไป เพราะเลือกเดินผิดทาง แทนที่จะแต่งเพลง รวมพลังกันเพื่อออกผลงานเพลงให้แฟนเพลงได้ฟังกันต่อไปตามเจตนารมย์ที่เคยตั้งไว้ แต่กลับมืดหน้าตามัวไปกับอำนาจของเงิน ชื่อเสียง และผลประโยชน์ที่ทำลายมิตรภาพได้มากถึงขนาดนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีให้กับศิลปินในวงการรุ่นหลังๆหรือคนที่กำลังเป็นใหญ่เป็นโตในสังคม ว่าคุณไม่ควรใช้ชีวิตหลงระเริงกับชื่อเสียงจนเกินไป จนหลงลืมอุดมการณ์ที่เคยให้ไว้กับคนอื่น ลืมคนสำคัญในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น คนในครอบครัว และ ผองเพื่อนที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกัน สุดท้ายถ้าคุณใช้ชีวิตไม่ระมัดระวัง คุณอาจจะมีจุดจบแบบในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ซึ่งนั่นเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงเลยนะครัช 

อีกอย่างที่ผมขอชื่นชมทีมโปรดิวซ์เซอร์และผู้กำกับของหนังคือ เค้าแคร์กลุ่มคนดูทั่วไปที่ไม่ใช่คอเพลงฮิพฮอพอยู่พอสมควร ทำหนังออกมาให้คนดูหนังทั่วไปได้เข้าใจง่าย ไม่ยากจนเกินไป ตรงไปตรงมา และมันอาจจะทำให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวแอบติดใจแนวเพลงนี้ แล้วไปตามฟังผลงานเก่าๆของพวกเขาเลยก็ว่าได้ ถือเป็นหนังที่อาจเปิดประตูให้กับคนดูทั่วไปได้เปิดใจกับเพลงแนวนี้ก็เป็นไปได้ครับ และสิ่งที่คนดูทั่วไปได้จากหนังเรื่องนี้ไปเต็มๆนั่นก็คือ ความบันเทิง และ สาระเต็มๆ ผมเชื่อว่ากลุ่มคนดูทั่วไปดูเรื่องนี้แล้วอิ่มแน่นอนครับ นำเสนอได้อย่างซื่อสัตย์กับคนดูสุดๆครับ

จบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้




FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma


วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[รีวิวเก่าเล่าใหม่] G I R L - Pharrell Williams

โคตรเฟมมินิสต์





นวงการเพลงยุคนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก Pharrell Williams แร็พเปอร์สมาชิกวงอัลเทอร์เนทีฟฮิพฮอพสุดแนว N.E.R.D และโปรดิวเซอร์มือทองแห่งยุค ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จให้กับศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Jay-Z , Frank Ocean , Daft Punk ,  Nelly และ Justin Timberlake มาพร้อมกับ studio album ชุดที่ 2 ที่มีชื่อว่า G I R L  โดยรวมแล้วอัลบั้มนี้ไปทางแดนซ์ป็อบ funk neo soul r&b ซะส่วนใหญ่ เนื้อหานี่โลกสวยสุดๆเลย เชิดชูคุณผู้หญิงเอามากๆตามชื่ออัลบั้มเลย ที่สำคัญไม่มีเนื้อหาทะลึ่งๆอีกด้วย ไม่มีพิษมีภัย เข้าถึงทุกวัย ผู้ชายฟังได้ผู้หญิงฟังดี เมื่ออัลบั้มวางขายเท่านั้นแหละ เทรนด์แฟชั่นผ้าคุมอาบน้ำก็มาแรงทันที จนเฮียแกต้องรีแกรมในอินสตาแกรมเลย เป็นการโปรโมทอัลบั้มไปในตัวด้วย เฮียฟาเรลถือเป็นศิลปินไอคอนระดับแถวหน้าของโลกเลยก็ว่าได้ ไม่ได้มีดีแค่โปรดิวซ์เพลง ร้องเพลงเพียงอย่างเดียว ยังมีหัวทางแฟชั่นการแต่งตัวด้วย เป็นเจ้าของแบรด์เสื้อผ้า iamother แถมไปเป็นดีไซน์เนอร์ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง uniqlo ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นสาวกของเฮีย คงซื้อเสื้อผ้าคอลเลคชั่นของเฮียติดไม้ติดมืออย่างน้อย 1-2 ตัวแน่นอน (ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) ออกแบบรองเท้า adidas รองเท้า supercolor ที่ฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองระยะนึง สไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่น ไม่แปลกใจเลยว่า เฮียฟาเรลจึงเป็นศิลปินไอคอนขวัญใจคนทั่วโลกได้อย่างสำเร็จ                 




เข้าพาร์ทรีวิวกันดีกว่า เปิดตัวด้วยดนตรีคลาสสิค ให้ความรู้สึกอลังกาลอย่าง Marilyn Monroe  ฟังแล้วรู้สึกเคลิ้ม และตบด้วยบีทเท่ห์ๆ ให้อารมณ์ retro นิดๆ ชวนโยกหัวอาร์แอนด์บีจังหวะสนุกๆ เด่นด้วยเสียงร้องฟาร์เลลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้แบ็คอัพประสานเสียงช่วยเสริม ยิ่งทำให้เพลงดูมีมิติมากขึ้น ชอบครับ ฟังเพลินดี เนื้อหาเชิดชูวีรสตรี Brand New (duet with Justin Timberlake)  ว้าว ! นี่แหละสิ่งที่ผมต้องการ ดนตรีฟังสนุกมาก โดดเด้ง เฟรช ผ่อนคลาย เป็นการดูเอ็ทที่สมน้ำสมเนื้อมากๆ จังหวะเพลงลงตัวสุดๆ ไม่มี JT นี่ เพลงจะดูจืดทันที เพราะ JT ช่วยเพลงนี้ได้เยอะเลย แทบจะแย่งซีนเจ้าของเพลงเลยทีเดียว หลายๆคนคงคิดไปไกลเลยว่า นี่มัน 20/20 experience ชัดๆ สไตล์คล้ายๆกันเลย เชียร์ให้ตัดเป็นซิงเกิ้ล Hunter ชวนโยกหัวด้วยเพลงกลิ่นอายฟังก์กี้ ดนตรีดูโดดเด่นดี แต่พอฟังไปเรื่อยๆก็แอบรำคาญนิดๆ ไม่มีเบรกกันเลย ออกแนวโทนเดียวซะงั้น เสียงร้องของฟาเรลล์สูงไป ฟังแล้วเลี่ยน เบรคด้วยเพลงป็อบ ช้าๆ Gush ฟังสบายๆได้เรื่อยๆ แต่ยังไม่โดดเด่นพอ หาฟังได้ทั่วไป เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมรู้สึกเฉยๆสุดล่ะ ถ้าจะข้ามเพลงนี้ก็ไม่เสียหายประการใด เป็นการเพลงที่แอบฆ่าเวลาชัดๆ




Happy ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้อย่างแน่นอน อันดับหนึ่งบนบิลบอร์ด ณ ขณะนี้ คลื่นวิทยุในบ้านเราก็กระหน่ำเปิดเพลงนี้กันจัง เหมือนว่านึกอะไรไม่ออก ตูเปิดแฮปปี้ไว้ก่อน ดนตรีชวนโยกย้าย กลิ่นอาย pop neo soul ติดหูด้วยเสียงร้องของฟาเรลล์อันเป็นเอกลักษณ์ รื่นหูไม่มีพิษมีภัย ฟังแล้วมีความสุข อารมณ์ดีสมชื่อเพลงเลย หากใครอยากฟังเพลงคลายเครียด แน่นอนเพลงนี้คงเป็นตัวเลือกที่ดี ไม่แปลกใจเลยว่าเพลงนี้เอาไปใช้เป็นแคมเปนเพลงประจำวันแห่งความสุขโลกวันที่ 20 มีนาคม

Come Get It Bae (featuring Miley Cyrus) ขึ้นมาก็ฟังก์จ๋าเลย บีทเทห์ดี กลมกลืนดี แถมยังได้น้องไหมมาร่วมแจมด้วย ออกแนวทะลึ่ง ขี้เล่นนิดๆ แต่ไม่โจ๋งครึ้มจนดูน่าเกลียดเกินไป ฟังสนุกดี ท่อนฮุกติดหูดี



Gust of Wind  ฟังแล้วรู้เลยว่าเพลงนี้ต้องมีดาฟต์พังก์มาร่วมแจมแน่ๆ สไตล์เพลงได้อารมณ์คล้ายๆกับ Lose youlself To Dance ชัดๆ disco จ๋า เป็นการแจมกันอีกครั้ง ที่ทำได้ลงตัวอีกเช่นเคย เรียกได้ว่า Daft Punk กลายเป็นเพื่อนยากของฟาเรลล์ไปแล้ว เค้าเกิดมาเป็นของคู่กันตั้งแต่ Get Lucky แล้วล่ะ ท่อนฮุกติดหูอย่างแรง ฟังแล้วคลิ๊กเลย ถูกใจคุณแน่นอน  Lost Queen อารมณ์ของเพลงนี้คล้ายๆป่าดงดิบเลย เหมือนกับได้เจอกับราชินีป่าอย่างไงอย่างงั้น เนิบๆช้าๆ ฟังแล้วแอบหลับนิดๆ อาจมีเบื่อไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งข้ามเพลงนี้ ฟังเสียงลมเสียงทะเลไปพลางๆ ก่อนเข้าสู่ Hidden Track ในช่วง 3นาทีสุดท้าย Freq ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เด็ดดวงมากๆ soul จ๋า ฟังสบายๆ สมูท นิ่มนวล คอรัสเสริม ทำให้ฟังดูน่ารักดี ให้ความรู้สึกเคลิ้ม ถ้าจะข้าม part lost queen มาที่ช่วง 4:24 ก็ได้นะ Know Who You Are (duet with Alicia Keys) ดูเอ็ทกันต่ออีกหนึ่งเพลง คราวนี้ได้ตัวแม่มาร่วมแจมเลย ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นเพลงช้าๆ โชว์พลังเสียงล้วนๆ ออกแนวน่าเบื่อ แต่ว้าว ! แค่อินโทรก็ฟินไปกว่าครึ่งแล้ว แนวเร้กเก้สนุกๆชวนโยกหัวดี เบสไหลเป็นน้ำ พออลิเชียมาแจมเท่านั้นแหละ ฟินสุโค่ยเลย บ่องตงว่า ถ้าไม่เชิญเจ๊คนนี้มา โคตรเสียดายเลย มันใช่เลยอ่ะ เป็นอีกหนึ่งเพลงเด็ดที่ไม่ควรมองข้ามเลยล่ะ



It Girl นี่ไม่ใช่การเอาเพลงของ Jason Derulo มาคัพเวอร์ใหม่นะ แต่เป็นในฉบับของพี่แกเอง slow jam rock เท่ๆ ชวนโยก เจ๋งดีครับ เฟี้ยวฟ้าวโคตรๆ แต่เป็นเพลงปิดอัลบั้มที่จบค่อนข้างค้างคาไปหน่อย ปล่อยoutro ลากยาวเฉยเลย จบไม่สนิทซะงั้น เอ็มวีมาในสไตล์อะนิเมผสมกัยวีดีโอเกม จี๊ดจ๊าด น่ารักดีครับ สดใส แบ๊วๆ


เป็นอัลบั้มที่ทำได้ดีพอสมควร ฟังเอาผ่อนคลายได้ มีเพลงติดหูเกินครึ่งอัลบั้มแน่นอน ความยาวแทร็คกำลังดี จะบอกว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุด ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนะ แน่นอนว่ายังมีจุดอ่อนอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของเพลงช้า ซึ่งบางเพลงยังไม่เฉียบขาดพอ ยังไปไม่สุด ฟังแล้วให้ความรู้สึกฟังเพลงป็อบทั่วๆไป ถ้าเทียบกับเพลงช้าของ Frank Ocean ซึ่งพี่แกทำออกมาได้เทพมากกว่าอัลบั้มตัวเองซะงั้น  แต่ผมว่าเฮียฟาเรลล์มาเบนสายป็อบ-โซลได้อยู่นะ เสียงพี่แกมีเอกลักษณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เก่งเรื่องโปรดิวซ์เพลงอยู่แล้ว สามารถพัฒนาศักยภาพได้อีก


ในอัลบั้มต่อๆไป ได้ดูพี่แกร้องเพลงกันอีกยาวแน่นอน


Top Tracks : Happy , Gust Of Wind , Know Who You Are (duet with Alicia Keys) , Freq (hidden track) , It Girl , Brand New


Give 7/10


Thanks For Reading


See Ya


FB : https://www.facebook.com/fungpaifungma